Translate

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

กำเนิดแบบอักษรไทย

กำเนิดแบบอักษรไทย 
          ท่านผู้รู้นักประวัติศาสตร์หลายท่าน คาดกันว่า เริ่มจากแบบอักษรคฤนถ์ของอินเดียใต้ ได้ถูกนำมาดัดแปลงเป็นอักษรขอม อักษรขอมนี้นำมาเขียนภาษาบาลี สันสกฤตได้สะดวก แต่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเห็นว่าการนำมาเขียนเป็นภาษาไทยนั้นไม่สะดวก เพราะไม่มีวรรณยุกต์เป็นเครื่องหมายกำหนดเสียงสูงต่ำและมีสระน้อย ไม่เพียงพอจะเขียนภาษาไทยได้ตามต้องการ  พระองค์จึงทรงมีพระราชดำริแก้ไขแบบอักษรเสียใหม่ให้เป็นลักษณะอักษรไทย (ซึ่งถ้าสังเกตถ้อยคำในศิลาจารึก จะเห็นคำว่า"นี้" อยู่ต่อคำว่า "ลายสือ" ทุกแห่ง คงจะมีความหมายว่าตัวอักษรแบบนี้ยังไม่เคยมี)   พระองค์ทรงแก้รูปตัวอักษรให้เขียนได้รวดเร็วกว่าอักษรขอม ทั้งสระและพยัญชนะก็จะเขียนอยู่ในบรรทัดเดียวกัน  
          แม้ว่าพ่อขุนรามคำแหงมหาราชจะมิได้เป็นผู้ทรงประดิษฐ์รูปอักษรขึ้นโดยพระองค์เองก็ตาม (๑)  การที่พระองค์ทรงแก้ไขตัวอักษรเสียใหม่ในสมัยกรุงสุโขทัยนั้น นับเป็นการสำคัญ เป็นการพัฒนาต่อยอดทางความคิด คือ การนำภูมิความรู้ทั้งหลายที่มีอยู่เดิมในขณะนั้นมาพัฒนาให้เกิดความเหมาะสม ให้มีความสะดวกในการจารึกและอ่าน อีกทั้งเสียงที่ใช้นั้นก็มีความครบถ้วนตามลักษณะเสียงที่ใช้ในภาษาไทย  สิ่งนี้นับเป็นคุณประโยชน์อย่างมหาศาล เป็นวิวัฒนาการ อันทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทางความรู้และวิทยาการในสมัยนั้นเป็นอย่างยิ่ง     แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยะภาพในเชิงภาษาศาสตร์และความเป็นนักปราชญ์ของพระองค์    
          ครั้นล่วงรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว จะเป็นระยะเวลานานเท่าใดไม่ปรากฏแน่ชัด มีผู้แก้ไขกลับไปใช้คุณลักษณะบางอย่างตามแบบหนังสือขอม ซึ่งมีสระอยู่ข้างหน้าพยัญชนะบ้าง อยู่ข้างหลังพยัญชนะบ้าง อย่างเช่นใช้ในแบบหนังสือไทยมาจนทุกวันนี้
          ตัวอักษรไทยที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงคิดค้นขึ้นนี้ ได้มีผู้นำไปใช้กันแพร่หลายต่อไปในประเทศใกล้เคียงในสมัยนั้น  เช่น ในล้านช้าง ล้านนา และประเทศข้างฝ่ายใต้ของอาณาจักรสุโขทัย คือ กรุงศรีอยุธยา  
ลักษณะของตัวอักษรไทย 

สระ ๒๐ ตัว
วรรณยุกต์ ๒ รูป  ตัวเลข ๖ ตัว

พยัญชนะ ๓๙ ตัว
          ท่านผู้รู้บางท่านได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการประดิษฐ์ตัวอักษรไทยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชอีกนัยหนึ่งว่า จากการดูที่เหตุผลแวดล้อม พยัญชนะไทยน่าจะมีครบทั้ง ๔๔ ตัวตั้งแต่ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว  ทางขอมได้ภาษาบาลี-สันสกฤตเป็นครู มีพยัญชนะจำนวน ๓๓ ตัวเท่ากับภาษาบาลี  พ่อขุนรามคำแหงได้แบบอย่างจากขอมและอินเดีย ครั้งแรกนั้นคงเป็นพยัญชนะ ๓๔ ตัว (ตัดนิคหิต ออก ๑ ตัว แต่พระองค์ได้นำมาใช้แทนตัว ม อย่างสันสกฤตและขอม) ต่อมาพระองค์อาจจะทรงคิดค้นเพิ่มเติมอีก ๑๐ ตัว ที่เรียกว่า "พยัญชนะเติม" เพื่อให้เสียงพอใช้ในภาษาไทย 
          พยัญชนะเติม ๑๐ ตัวคือ ฃ ฅ ซ ฎ ด บ ฝ ฟ อ ฮ     จะเห็นว่าพยัญชนะเหล่านี้ได้เพิ่มเข้ามาจากพยัญชนะวรรคมีเสียงที่พ้องกัน เช่น 
                    ฃ พ้องเสียงกับ ข  
                    ฅ พ้องเสียงกับ ค 
          ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชนั้น ตัวอักษรนี้คงออกเสียงเป็นคนละหน่วยเสียงกัน  แต่ ฃ กับ ฅ คงจะออกเสียงได้ยากกว่า เราจึงรักษาเอาไว้ไม่ได้ มีอันต้องสูญไปอย่างน่าเสียดาย (๒)  เหตุผลคือ ถ้าเป็นหน่วยเสียงเดียวกัน พระองค์จะไม่ทรงคิดเสียงซ้ำกัน  เช่นนั้น ฃ กับ ข และ ฅ กับ ค จึงน่าจะเป็นคนละหน่วยเสียงกันเช่นเดียวกับภาษาบาลี สันสกฤต ที่ออกเสียงพยัญชนะวรรคตะ ต่างกับเสียงพยัญชนะวรรคฏะ  แต่เมื่อเรารับเข้ามาใช้ เราออกเสียงอย่างเขาไม่ได้ เราจึงออกเสียงเหมือนกัน เช่นเดียวกับ ตัว ส,ษ,ศ ก็เช่นเดียวกัน เขาออกเสียงต่างกันแต่เราออกเสียงเหมือนกันหมด  เสียงใดที่ออกยากย่อมสูญได้ง่าย   
สิ่งที่น่าเป็นห่วง
          ตามคำกล่าวข้างต้น เสียงที่น่าเป็นห่วงในปัจจุบัน เช่น
  • เสียง "ร" เพราะออกเสียงได้ยากกว่าเสียง "ล" นักเรียนในปัจจุบันมักจะออกเสียง "ร" ไม่ค่อยได้เพราะต้องกระดกลิ้น  
  • เสียง "ท" ที่ปัจจุบันมีผู้นิยมออกเป็นเสียง "ธ" ตามอย่างนักร้องที่มักออกเสียง "ท" เป็นเสียง "ธ" 
          ปัจจุบันนี้ เราหาผู้เชี่ยวชาญในการออกเสียงให้มีความชัดเจนแตกต่างจากกัน เพื่อเป็นผู้สอนการออกเสียงให้แก่นักเรียนนักศึกษาได้ยาก  จึงเป็นที่น่าห่วงว่าหากเราไม่ช่วยกันอนุรักษ์การออกเสียงเหล่านี้เอาไว้ สักวันหนึ่งเสียงต่างๆ เหล่านี้อาจจะสูญไปได้เช่นเดียวกัน
  Thailand Web Stat
ธนกร ช่อไม้ทอง : เรียบเรียง (๑) หนังสือพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช และรวมเรื่องเมืองสุโขทัย กรมศิลปากร
(๒) เลิกใช้เมื่อปีพระพุทธศักราช ๒๔๗๐ ต่อมาเกิดพจนานุกรมฉบับ ปีพระพุทธศักราช ๑๓๙๓ จึงได้ประกาศเลิกใช้อย่างเป็นทางการ  

ขอขอบคุณ www.lib.ru.ac.th/pk/thaifont2.html

บันทึกแฟ้มงานลงซีดี

บันทึกแฟ้มงานลงซีดี

ใช้ได้กับ
Microsoft Office System
มือที่กำลังถือซีดีดิสก์
ในขณะที่คอมพิวเตอร์จำนวนมากขึ้น ๆ เริ่มสร้างมาตรฐานของไดรฟ์ซีดีรอม การเขียนข้อมูลลงซีดีจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผล และมาแทนที่ฟล็อปปี้ดิสก์ในฐานะสื่อที่เคลื่อนย้ายได้ ซึ่งใช้เพื่อทำสำรองข้อมูลและใช้ไฟล์ร่วมกับผู้อื่น ตัวอย่างเช่น คุณอาจจะต้องการเขียนข้อมูลลงซีดีเพื่อเก็บรักษารูปภาพดิจิตัลที่คุณถ่ายไว้เมื่อครั้งไปพักร้อน แทนที่จะต้องเปลืองเนื้อที่ฮาร์ดไดรฟ์อันมีค่า หรือคุณอาจจะต้องการเก็บรักษาระเบียนข้อมูลทรัพย์สินในบ้านในรูปดิจิตัลลงซีดีเอาไว้ และจัดเก็บซีดีนั้นไว้ในกล่องนิรภัย เหตุผลของการจัดเก็บข้อมูลลงซีดีนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน
สิ่งสำคัญ  Microsoft Windows 2000 ไม่มีความสามารถในการเขียนข้อมูลลงซีดีที่ติดมากับเครื่อง ขั้นตอนนี้จะใช้ได้เฉพาะกับ Microsoft Windows® XP เท่านั้นซึ่งให้ความสามารถขั้นพื้นฐานในการเขียนข้อมูลลงซีดี สำหรับฟังก์ชันการทำงานเพิ่มเติมอื่น ๆ คุณสามารถใช้โปรแกรมการเขียนข้อมูลลงซีดีซึ่งผู้ขายซอฟต์แวร์อิสระจัดหาให้ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เหล่านี้ โปรดแวะเยี่ยมชม Windows XP Catalog คลิกแถบ Software แล้วชี้ไปยัง Utilities และคลิก CD-ROM

คัดลอกแฟ้มและโฟลเดอร์ลงซีดี

  1. ใส่ซีดีเปล่าที่เขียนข้อมูลลงได้ คุณอาจเลือกใช้:
    • คอมแพ็คดิสก์ที่บันทึกได้ (CD-R)
    • หรือ คอมแพ็คดิสก์ที่เขียนทับได้ (CD-RW)
    หากเป็นซีดีที่เขียนทับได้ คุณสามารถคัดลอกข้อมูลลงซีดีและลบข้อมูลจากซีดีได้หลาย ๆ ครั้ง
  2. คลิก Start และคลิก My Computer
  3. คลิกแฟ้มหรือโฟลเดอร์ต่าง ๆ ซึ่งคุณต้องการจะคัดลงลงซีดี
    • หากต้องการเลือกแฟ้มมากกว่าหนึ่งแฟ้ม ให้กดแป้น CTRL ค้างไว้พร้อมกับคลิกแฟ้มที่คุณต้องการ จากนั้น ที่ด้านล่าง งานแฟ้มและโฟลเดอร์ คลิก คัดลอกแฟ้มนี้ คัดลอกโฟลเดอร์นี้ หรือ คัดลอกรายการที่เลือก
    • ถ้าแฟ้มต่าง ๆ ตั้งอยู่ใน รูปภาพของฉัน ที่ด้านล่าง งานรูปภาพ ให้คลิก คัดลอกลงซีดี หรือ คัดลอกทุกรายการลงซีดี จากนั้นไปที่ขั้นที่ 5
  4. ในกล่องโต้ตอบ คัดลอกรายการ ให้คลิกไดรฟ์ที่ทำการบันทึกซีดี จากนั้นคลิก คัดลอก
  5. ใน คอมพิวเตอร์ของฉัน ดับเบิ้ลคลิกไดรฟ์ที่บันทึกซีดี Windows จะแสดงพื้นที่ชั่วคราวซึ่งจะเป็นที่จัดเก็บแฟ้มก่อนที่ถูกคัดลอกลงซีดี ตรวจสอบว่าแฟ้มและโฟลเดอร์ที่คุณต้องการจะคัดลอกลงซีดีปรากฏขึ้นที่ด้านล่าง แฟ้มที่พร้อมจะถูกเขียนลงซีดี
  6. ที่ด้านล่าง งานเขียนซีดี ให้คลิก เขียนแฟ้มเหล่านี้ลงซีดี Windows จะแสดงผู้ช่วยการเขียนซีดี ให้ทำตามคำแนะนำของผู้ช่วย
หมายเหตุ
  • อย่าพยายามคัดลอกแฟ้มลงซีดีมากกว่าที่ซีดีจะรับไหว ให้ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ของซีดีเพื่อดูความจุของซีดีแต่ละแผ่น สำหรับแฟ้มที่ใหญ่เกินซีดีหนึ่งแผ่น คุณสามารถคัดลอกแฟ้มต่าง ๆ ลงดีวีดีที่บันทึกได้ (DVD-R หรือ DVD+R) หรือ DVD ที่เขียนทับได้ (DVD-RW หรือ DVD+RW) อย่างไรก็ตาม Windows XP ไม่รองรับการคัดลอกลงดีวีดี ดังนั้นคุณต้องมีซอฟต์แวร์ DVD authoring
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าฮาร์ดิกส์ของคุณมีเนื้อที่มากพอที่จะจัดเก็บแฟ้มชั่วคราวซึ่งถูกสร้างขึ้นในระหว่างขั้นตอนการเขียนซีดี หากเป็นซีดีมาตรฐาน Windows จะสงวนเนื้อที่ไว้ 700 เมกะไบต์ (MB) ไว้เป็นพื้นที่ว่าง สำหรับซีดีความจุสูง Windows จะสงวนเนื้อที่ไว้ 1 กิกะไบต์ (GB)
  • หลังจากคุณคัดลอกแฟ้มหรือโฟลเดอร์ลงซีดีแล้ว คุณสามารถเรียกดูซีดีเพื่อยืนยันว่าแฟ้มเหล่านั้นได้ถูกคัดลอกเรียบร้อยแล้ว

การพิมพ์เอกสารออกทางเครื่องพิมพ์

โปรแกรมประมวลผลคำ 1 => เนื้อหารายสัปดาห์ / ใบงาน / คำถามประจำสัปดาห์ / อาจารย์ผู้สอน

สัปดาห์ที่ : 11
เรื่อง : การพิมพ์เอกสารอออกทางเครื่องพิมพ์

รู้จักกับ Printer
          ก่อนอื่นควรทราบก่อนว่าพรินเตอร์ (Printer) ที่เราใช้มีคุณสมบัติเป็นอย่างไรบ้าง เช่น สามารถพิมพ์เอกสารได้กี่ขนาด มีความละเอียดสูงสุดเป็นเท่าใด ความเร็วของเครื่องพิมพ์เป็นอย่างไร มีวิธีใส่กระดาษแบบใดได้บ้าง ใส่ซองจดหมายได้หรือไม่ ฯลฯ การทราบคุณสมบัติของพรินเตอร์อย่างคร่าวๆ จะทำให้ลดปัญหาจากการพิมพ์ได้มาก
          พรินเตอร์ (Printer) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้แสดงผลข้อมูลในรูปของกระดาษ ซึ่งพอสรุปเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ ดังนี้
  1. เครื่องพิมพ์แบบดอทแมททริกซ์ (Dot Matrix) เป็นแบบเคลื่อนที่ในแนวราบ ใช้ได้กับงานเอกสารกราฟฟิก ตัวอักษรหรือรูปภาพจะสวยงามขึ้นอยู่กับหัวพิมพ์ มีแบบ 9 เข็มและ 24 เข็ม
  2. เครื่อพิมพ์แบบเลเซอร์ (Laser Printer) ใช้ลำแสงเลเซอร์ในการพิมพ์ มีความคมชัดและมีความเร็วสูง
  3. เครื่องพิมพ์แบบฉีดหมึก (Ink Jet) ใช้วิธีการพ่นหมึกให้เป็นจุดเล็กๆ อย่างรวดเร็วด้วยกระแสไฟฟ้า ให้ความคมชัดและสวยงาม
ตรวจสอบเอกสารก่อนการพิมพ์ด้วย Print Preview
          ก่อนการพิมพ์เอกสารทุกครั้งควรตรวจดูเอกสารก่อนว่ามีความถูกต้องสวยงามหรือไม่ การตรวจสอบเอกสารก่อนพิมพ์เป็นการลดความผิดพลาดและการสิ้นเปลืองกระดาษ โดยมีขั้นตอนดังนี้
  1. คลิกเลือกเมนู File เลือกคำสั่ง Print Preview (แฟ้ม > ตัวอย่างก่อนพิมพ์) หรือคลิกที่ปุ่ม 
  2. ในขั้นตอนนี้ Word จะแสดงหน้าต่าง Printer Preview ซึ่งเราสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ ได้ เช่น ปรับอัตราย่อขยายจอภาพ ดูเอกสารทีละหลายๆ หน้า ฯลฯ

     3.  หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้วให้คลิกปุ่ม Close (ปิด) เพื่อกลับไปยังหน้าต่างปกติของ Word
การสั่งพิมพ์อย่างรวดเร็วด้วยปุ่มบนแถบเครื่องมือ
          หลังจากตรวจสอบจาก Print Preview แล้วไม่พบอะไรผิดพลาด ต่อไปก็ถึงเวลาสั่งพิมพ์ วิธีหนึ่งคือการคลิกที่ปุ่ม  ซึ่งวิธีนี้เอกสารทุกหน้าจะถูกพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์
          วิธีสั่งพิมพ์ด้วยการคลิกที่ปุ่ม  สามารถพิมพ์เอสารได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องปรับแต่งอะไรมาก แต่มีจุดด้อยอยู่ว่าเราไม่สามารถเลือกพิมพ์เอกสารเป็นบางหน้าได้เลย และที่สำคัญหากเราติดตั้งพรินเตอร์ไว้หลายเครื่อง การสั่งพิมพ์วิธีนี้ Word จะส่งเอกสารทั้งหมดทุกหน้าไปยังพรินเตอร์ที่ถูกกำหนดเป็นพรินเตอร์หลักเสมอ เรียกได้ว่าเราไท่สามารถเลือกว่าจะให้พิมพ์ไปยังพรินเตอร์ตัวอื่นได้เลย
การสั่งพิมพ์โดยกำหนดเงื่อนไข
          เมื่อเรามีพรินเตอร์หลายเครื่องติดตั้งอยู่ในเครื่อง หรือต้องการพิมพ์เอกสารเป็นบางหน้า การสั่งพิมพ์ด้วยการคลิกที่ปุ่ม  นั้นทำไม่ได้ ต้องใช้วิธีดังต่อไปนี้
  1. คลิกเมนู File เลือกคำสั่ง Print (แฟ้ม > พิมพ์) หรือกดแป้นคีย์บอร์ดปุ่ม
     2.  เลือกพรินเตอร์ที่ต้องการสั่งพิมพ์ โดยเครื่องพิมพ์ที่เลือกต้องเชื่อมต่ออยู่กับคอมพิวเตอร์หรือระบบเครือข่ายที่ต่ออยู่
     3.   ระบุหน้าเอกสารที่ต้องการพิมพ์ โดยมีเงื่อนไขดังนี้
            - All (ทั้งหมด) เมื่อต้องการพิมพ์เอกสารทุกแผ่น
            - Current Page (หน้าปัจจุบัน) เมื่อต้องการพิมพ์เฉพาะหน้าที่มีเคอร์เซวอร์อยู่ในขณะนั้น
            - Page (หน้า) เพื่อกำหนดให้พิมพ์เอกสารบางหน้า โดยระบุหน้าไว้ในช่องหรือระบุเป็นช่วงก็ได้
     4.   ใส่จำนวนชุดที่ต้องการให้พิมพ์ไว้ในกรอบ Number of Copies (จำนวนสำเนา)
     5.   หากในขั้นตอนที่แล้วสั่งให้พิมพ์เอกสารหลายชุด ให้คลิกจนมีเครื่องหมายถูกในช่อง Collate (ทีละชุด) Word จะสั่งพิมพ์เอกสารจนหมดทุกหน้าก่อนแล้วจึงพิมพ์ชุดต่อไป หากเอาเครื่องหมายถูกออก Word จะพิมพ์เป็นหน้าๆ จนครบจำนวนชุดก่อนจึงพิมพ์หน้าถัดไป
     6.   คลิกปุ่ม OK
การย่อเอกสารให้พอดีหน้า
          การจัดเอกสารให้พอดีกับหน้ากระดาษถือเป็นสิ่งจำเป็นเพราะเอกสารจะดูสวยงาม น่าสนใจและไม่เปืองกระดาษ โดยวิธีลดขนาดทำได้ดังนี้
  1. คลิกเลือกเมนู File เลือกคำสั่ง Print Preview (แฟ้ม > ตัวอย่างก่อนพิมพ์) หรือคลิกที่ปุ่ม 
  2. คลิกที่ปุ่ม  (Shrink to Fit) เพื่อสั่งให้ Word ลดขนาด Font เพื่อจัดให้ข้อความจบลงพอดีกับหน้าสุดท้าย
เอกสารที่กำลังรอพิมพ์
          เมื่อเราสั่งพิมพ์ Word จะส่งข้อมูลไปให้ Windows เพื่อทำหน้าที่ติดต่อกับเครื่องพิมพ์ต่อไป หลังจากที่สั่งพิมพ์เราจะเห็นไอคอนรูปพรินเตอร์อยู่ที่ด้านล่างของหน้าจอ ต่อจากนั้นเมื่อรูปไอคอนหายไปนั่นหมายความว่า Windows ได้ส่งข้อมูลไปให้พรินเตอร์หมดแล้ว
วิธียกเลิกงานพิมพ์
          แม้ว่าเราได้สั่งพิมพ์เอกสารไปแล้ว หากเปลี่ยนใจไม่อยากให้พิมพ์ ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้
  1. คลิกที่ปุ่ม Start  จากนั้นให้เลือก Setting > Printer
  2. ดับเบิลคลิกที่ไอคอนพรินเตอร์ที่ต้องการยกเลิกพิมพ์ หลังจากนั้นเราจะพบรายการคิวเอกสารที่ได้สั่งพิมพ์ไปแล้ว
  3. คลิกที่เอกสารที่ต้องการยกเลิก หลังจากนั้นกดคีย์บอร์ด
การหยุดพิมพ์ชั่วคราว
          เอกสารที่อยู่ในคิว สามารถสั่งให้หยุดพิมพ์ชั่วคราวได้ดังขั้นตอนต่อไปนี้ คือ
  1. คลิกที่ปุ่ม Start  จากนั้นให้เลือก Setting > Printer
  2. ดับเบิลคลิกที่ไอคอนพรินเตอร์ที่ต้องการยกเลิกพิมพ์ หลังจากนั้นเราจะพบรายการคิวเอกสารที่ได้สั่งพิมพ์ไปแล้ว
  3. คลิกขวาที่เอกสารที่ต้องการให้หยุดพิมพ์ชั่วคราว
  4. คลิกที่ Pause เพื่อสั่งให้หยุดพิมพ์เอกสารนี้ หลังจากเลือกคำสั่งจะมีเครื่องหมายถูหหน้าคำว่า Pause ทันที
  5. หากต้องการพิมพ์ต่อ ให้คลิกปุ่มขวาที่เอกสารจากนั้นให้คลิกที่ Pause อีกครั้ง
ปัญหาที่มักเกิดกับการพิมพ์
          โดยทั่วๆ ไปการพิมพ์ที่ผิดพลาดมักไม่ค่อยเกิดจาก Word แต่มักเกิดจากตัวพรินเตอร์และการติดตั้งพรินเตอร์ใน Windows ไม่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น ติดตั้งพรินเตอร์ผิดรุ่น การเลือกแหล่งกระดาษผิดตำแหน่ง ฯลฯ
          อีกปัญหาหนึ่งที่พบมากคือ หากเราได้ยกเลิอกงานพิมพ์ไปแล้ว แต่พรินเตอร์ยังคงไม่หยุดพิมพ์และพิมพ์ข้อมูลที่ผิดพลาดออกมา ควรกดปุ่มยกเลิกพิมพ์ (ซึ่งอยู่บนพรินเตอร์) แต่หากพรินเตอร์ยังคงพิมพ์ข้อความขยะออกมาอีกก็ควรปิดเครื่องพรินเตอร์แล้วจึงค่อยเปิดขึ้นมาใหม่
          ในกรณีที่ติดตั้งพรินเตอร์หลายรุ่น หากในขณะสั่งพิมพ์เลือกพรินเตอร์ผิดตัว ข้อมูลที่ออกมาทางพรินเตอร์มักไม่ถูกต้อง โดยมากจะได้ข้อมูลขยะออกมา หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ควรยกเลิกการพิมพ์ทันทีและควรปิดพรินเตอร์เพื่อล้างข้อมูลด้วย
          ปัญหาเรื่องของการพิมพ์ยังมีอีกมาก ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของพรินเตอร์ ทางที่ดีหากมีปัญหาเรื่องการพิมพ์ควรเปิดดูคู่มือหรือโทรศัพท์ถามผู้ผลิตโดยตรงก็จะเป็นทางเลือกก็จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557

ทักษะคอมพิวเตอร์...ใครเก่งกว่าได้เปรียบ

ทักษะคอมพิวเตอร์...ใครเก่งกว่าได้เปรียบ

ความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในโลกแห่งเทคโนโลยี ใครก็ตามที่ยังใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็นจะกลายเป็นคนล้าหลัง และเป็นตัวเลือกที่จะไม่ถูกเลือกในการสมัครงานยุคปัจจุบัน พนักงานธุรการ เสมียน หรือเลขานุการยุคนี้ ต้องใช้คอมพิวเตอร์ได้คล่องแคล่ว อย่างน้อยก็ในโปรแกรมพื้นฐาน เช่น สามารถ Internet ค้นหาข้อมูลได้ รับ-ส่ง E-mail เป็น พิมพ์เอกสาร ทำตารางและใช้สูตรคำนวณ เบื้องต้น ด้วย Microsoft Word, Microsoft Excel และทำพรีเซนเทชั่นด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint ได้ เป็นต้น
ในทำงานที่ต้องการพัฒนาทักษะทางคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง เรามีคำแนะนำที่คุณสามารถทำได้ไม่ยาก มาฝากดังนี้
1. ตั้งเป้าหมายว่าอยากจะพัฒนาทักษะคอมพิวเตอร์ในเรื่องใด
ก็ให้จดบันทึกลงไป จากนั้นให้ประเมินว่าคุณจะใช้เวลาเท่าไรในการฝึกฝนทักษะนั้นจนสามารถทำสำเร็จได้ตามเป้า เช่นคุณเป็นคนที่พิมพ์งานช้ามาก เนื่องจากยังพิมพ์สัมผัสไม่คล่อง ระหว่างพิมพ์ยังต้องคอยมองแป้มพิมพ์และใช้นิ้วจิ้มทีละตัว คุณอาจระบุเป้าหมายลงไปว่า จะต้องพิมพ์สัมผัสได้ในความเร็ว 30 คำต่อนาที ภายในเวลา 3 วัน โดยการฝึกพิมพ์นี้คุณสามารถดาวน์โหลดวิธีฝึกออนไลน์ที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายมาใช้ในการฝึกได้ หลังจากการฝึกในแต่ละครั้งให้คุณให้คะแนนตัวเองโดยเปรียบเทียบจากการฝึก ในครั้งที่ผ่านมาว่าคุณมีความก้าวหน้ามากเพียงใด เมื่อครบตามกำหนด 3 วัน มาดูกันว่าคุณสามารถทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่ จากนั้นทำการกำหนดเป้าหมายต่อ ๆ ไปที่คุณต้องการพัฒนาเพิ่มเติม
2. ก่อนที่จะฝึกทักษะคอมพิวเตอร์ในขั้นที่สูงขึ้น
คุณจะต้องทำพื้นฐานให้แน่นเสียก่อน ให้เวลากับการฝึกทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการใช้คอมพิวเตอร์อย่างปลอดภัย เช่น การเปิด-ปิดเครื่องที่ถูกวิธี การตั้งโฟลเดอร์เพื่อจัดเก็บไฟล์งานอย่างเป็นระเบียบ การแบ็กอัพข้อมูล การสั่งพริ้นต์เอกสาร เป็นต้น หากคุณเข้าใจในทักษะเบื้องต้นเหล่านี้เป็นอย่างดีแล้วล่ะก็ คุณจะสามารถนำไปต่อยอดสู่ทักษะในขั้นที่สูงขึ้นต่อไปได้ง่าย
3. ใช้เวลาในการทำงานกับคอมพิวเตอร์ให้มาก
วิธีเดียวที่จะทำให้คุณเก่งคอมพิวเตอร์คือ อยู่กับมันให้มาก ทำความคุ้นเคยกับส่วนต่าง ๆ ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ รวมถึงวิธีการใช้งานคุณสมบัติต่าง ๆ ด้วย สะสมชั่วโมงบินให้มากเพื่อที่คุณจะมีความรู้และประสบการณ์ที่มากขึ้นเป็นลำดับ
4. อย่ากลัวที่จะทดลองโปรแกรมใหม่ ๆ
ผู้ที่เริ่มใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มักจะกลัวว่าจะเผลอไปลบไฟล์หรือโปรแกรมสำคัญทิ้งไป วิธีที่ดีที่สุดในการระงับความกลัวเช่นนี้คือการ แบ็กอัพข้อมูลเป็นประจำ ก่อนที่คุณจะทำอะไรกับคอมพิวเตอร์ของคุณ วิธีนี้ทำให้คุณยังมีไฟล์สำรองใช้อยู่ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดดังกล่าว แต่พึงระลึกไว้ว่า ในการพัฒนาทักษะที่คุณเรียนรู้แล้ว คุณจะต้องหมั่นสำรวจโปรแกรมนั้น เช่นลองใช้คำสั่งต่าง ๆ ดูว่า โปรแกรมมีความสามารถในการทำอะไรเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงาน หรือทำให้การทำงานของคุณดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น ได้บ้าง ใช้เวลากับการทดลองคุณสมบัติต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ของคุณ ถ้าไม่เข้าใจให้ลองใช้ความช่วยเหลือ (Help) คุณจะพบคำแนะนำในการใช้โปรแกรมนั้นอย่างถูกต้อง หรือหากคุณมีปัญหาที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ ให้คุณค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต หรือถามผู้รู้ในเรื่องนั้น ๆ โดยตรง
5. ฝึกฝนทักษะที่คุณได้เรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ
เนื่องจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นหากไม่ได้ใช้เป็นประจำก็จะลืมว่าเครื่องมือนี้ที่เคยใช้อยู่ตรงไหน ทำไมตอนนี้หาไม่เจอแล้ว การใช้งานเป็นประจำซ้ำ ๆ จะช่วยทบทวนความรู้และความจำจนกระทั่งคุณชำนาญและไม่ลืมมัน ที่สำคัญคือต้องฝึกฝนให้มาก ด้วยความสนใจและปรารถนาที่จะเรียนรู้
คุณสมบัติต่าง ๆ เหล่านี้ จะช่วยพัฒนาทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์ของคุณให้คล่องแคล่วและทำงานได้รวดเร็วกว่าคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ และยิ่งในช่วงที่คนทำงานต้องขยันขันแข็งมากขึ้นเพื่อสู้วิกฤติที่จะต้องเผชิญ ทักษะคอมพิวเตอร์ก็เป็นหนึ่งคุณสมบัติที่องค์กรใช้ในการพิจารณาพนักงานเช่นกัน
ขอบคุณจาก th.jobsdb.com › ... › Resources › Industry Focus › Administrative Careers

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

ประวัติความเป็นมาของนาฬิกา

ประวัติความเป็นมาของนาฬิกา


ในสมัยโบราณมนุษย์ยังไม่มีนาฬิกาใช้ การดำเนินชีวิตขึ้นอยู่กับธรรมชาติ ดวงอาทิตย์จึงเป็นนาฬิกาเรือนแรกที่มนุษย์รู้จัก นักประวัติศาสตร์ชื่อ Herodotus ได้บันทึกไว้ว่า ประมาณ 3,500 ปีก่อน มนุษย์รู้จักใช้ นาฬิกาแดด ซึ่งนับว่าเป็นนาฬิกาเรือนแรกของโลก โดยสามารถอ่านเวลาได้จากเงาที่ตกทอดลงบนขีดเครื่องหมาย 
นาฬิกาแดด(Sundial)เป็นเครื่องบอกเวลาและเครื่องมือวัดเวลา
วิธีธรรมชาติแบบหนึ่ง ทีมีใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน
โดยอาศัยการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ที่ปรากฎในแต่ละวันเป็นหลัก
สมัยโบราณก่อนที่จะเริ่มมีนาฬิกาจักรกลหรือนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์ ไว้ใช้บอกเวลาเช่นในปัจจุบันมนุษย์ใช้ประโยชน์จากปรากฎการณ์ธรรมชาติ ในการสังเกตการเปลี่ยนแปลงต่างๆจากธรรมชาติเพื่อการกำหนดเวลา
โดยเฉพาะใช้ดวงอาทิตย์เป็นเครื่องชี้บอกเวลาธรรมชาติที่สำคัญที่สุด
เช่นเวลาเช้าดวงอาทิตย์ขึ้น เวลาเที่ยงดวงอาทิตย์อยู่ตรงศีรษะ เวลาเย็นค่ำดวงอาทิตย์ตกลับจากขอบฟ้าส่วนเวลากลางวัน
ในช่วงเวลาอื่นก็อาศัยสังเกตดูจากการทอดเงา
ของวัตถุใดวัตถุหนึ่งที่กำหนดให้เป็นเครื่องบอกเวลาของคนในท้องถิ่นนั้น
ซึ่งอาจไม่มีความเที่ยงตรง แต่ก็ยอมรับได้สมัยนั้นมาใช้กำหนดเวลาด้วยหลักการตามที่กล่าวมา มนุษย์ในระยะแรกจึงได้ประดิษฐ์คิดค้นนาฬิกาแดด (Sundisl)ให้มี
รูปทรงที่เหมาะสมขึ้นมาใช้งานเป็นเครื่องบอกเวลาอย่างง่าย

นาฬิกาแดดคิดค้นขึ้นครั้งแรกเมื่อใดไม่ปรากฎ แต่จากหลักฐานพบว่านาฬิกาแดดพัฒนาขึ้น ในสมัยอียิปต์โบราณหรือราว 2000ปีมาแล้ว นาฬิกาแดดนั้นแสดงเวลาที่อาจคลาดเคลื่อนไป
จากเวลานาฬิกาข้อมือของผู้สังเกต แต่ถ้าได้เข้าใจหลักการของนาฬิกาแดดแล้วนำค่าเวลามาแก้ไข เวลาที่ได้จะมีความถูกต้องพอสมควร ที่เป็นเช่นนี้เพราะนาฬิกาแดดนั้น แสดงเวลาธรรมชาติที่ควรจะเป็น ซึ่งต่างจากเวลาของนาฬิกาข้อมือหรือนาฬิกาทั่วไปที่ใช้อยู่ปัจจุบัน
บอกวัดเวลาหรือแสดงเวลาที่ต้องการให้เป็น หมาายความว่าเวลาที่
แสดงจากนาฬิกาแดดนั้นเป็นเวลาที่เราเรียกว่าเวลาดวงอาทิตย์ ณ ตำบลที่นั้นอยู่เป็นประจำ ไม่ใช่เวลาท้องถิ่นสมมุติ หรือเวลาที่เราต้องการให้เป็น
ต่อมาชาวกรีกโบราณรู้จักพัฒนา นาฬิกาน้ำ ที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่านาฬิกาแดด เรียกว่า clepsydra ( คำนี้เป็นคำสนธิที่มีรากศัพท์มาจากคำว่า clep ซึ่งแปลว่า ขโมย และคำ sydra ที่แปลว่า น้ำ ) 
เพราะนาฬิกานี้ทำงานโดยอาศัยหลักที่ว่า " ภาชนะดินเผาที่มีน้ำบรรจุเต็มเวลาถูกเจาะที่ก้นน้ำจะไหลออกจากภาชนะ
ทีละน้อยๆ เหมือนการขโมยน้ำ " ดังนั้นชาวกรีกโบราณจึงได้กำหนดระยะเวลาที่น้ำไหลออกจนหมดภาชนะว่า 
1 clepsydra ( สุทัศน์ ยกส้าน. 2544: 159 ) แต่นาฬิกาน้ำนี้ต้องมีการเติมน้ำใหม่ทุกครั้งที่หมดเวลา 1 clepsydra และในฤดูหนาวน้ำจะแข็งตัวทำให้ไม่สามารถใช้นาฬิกาได้ 


ในปี ค.ศ.1929 Warren Morrison ได้ประดิษฐ์ นาฬิกาควอตซ์ ขึ้นเฉพาะที่เป็น นาฬิกาข้อมือ นาฬิกาประเภทนี้เที่ยงตรงมาก และในปี ค.ศ.1980 เป็นช่วงเวลาที่เริ่มนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ มีการประดิษฐ์ นาฬิกาโดยใช้ชิป ( chip ) เป็นส่วนประกอบเพิ่มเติมในกลไกของนาฬิกา ซึ่งนอกจากจะบอกเวลาแล้วยังสามารถเก็บข้อมูลที่จำเป็น และสามารถใช้เป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ได้ด้วย หลังจากนั้นเทคโนโลยีในด้านการประดิษฐ์นาฬิกาได้ก้าวหน้าเรื่อยมา จนกระทั่งทุกวันนี้เรามี นาฬิกาคอมพิวเตอร์ ใช้กันแล้ว


        สำหรับประเทศไทย คนไทยประดิษฐ์เครื่องบอกเวลาใช้เองเมื่อร้อยปีมาแล้ว คือในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงมีวลีที่กำชับรับสั่งกับข้าราชบริพารผู้ใกล้ชิด มีความว่า " สยามจะอยู่รอด รักษาความเป็นไทไม่เป็นขี้ข้าฝรั่ง จะต้องทำให้คนไทยเชื่อมั่น และต่างชาติเชื่อว่าคนไทยนี้เก่ง " จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้ากรมอุทกศาสตร์ท่านแรกของสยาม ชื่อ Captain Loftus จัดทำ นาฬิกาแดด ไว้ให้เป็นเครื่องกำหนดหมายบอกเวลา แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานไว้ที่ลานหน้าพระอุโบสถวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ บางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยาจนทุกวันนี้


ขอบคุณจาก  http://www.nonburee.com/page12.htm

10 สถานที่ชมดอกซากุระบานสุดฮิตในญี่ปุ่น


10 สถานที่ชมดอกซากุระบานสุดฮิตในญี่ปุ่น


ซากุระ คือ สัญลักษณ์แห่งชีวิตของคนญี่ปุ่น เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิของญี่ปุ่นแล้ว คุณกำลังมองหาสถานที่ชมดอกซากุระที่ญี่ปุ่นกันอยู่ใช่ไหม? ท่องเที่ยวไทยซ่าส์มีแหล่งชมดอกซากุระที่มีชื่อเสียง?ของญี่ปุ่นมาฝากทุกๆคนกันค่ะ มาดูกันว่าจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวใดในญี่ปุ่น ที่เหมาะแก่การเดินทางไปชมดอกซากุระบานมากที่สุดค่ะ 

        สถานที่ชมดอกซากุระบานในญี่ปุ่น แนะนำแหล่งชมดอกซากุระที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของคนญี่ปุ่น 


สถานที่ชมดอกซากุระ

สถานที่ชมดอกซากุระ
        สวนไดโนเสาร์ ซากุระจิมะ (Sakurajima Dinosaur Park) Photo By japan-guide 

        สวนไดโนเสาร์ ซากุระจิมะ (Sakurajima Dinosaur Park) 
เมืองคะโงะชิมะ (Kagoshima City) จังหวัดคะโงะชิมะ (Kagoshima Prefecture) เป็นสวนสาธารณะบนภูเขาไฟซากุระจิมะ ซึ่งลอยอยู่ในอ่าวคิงโค ห่างจากฝั่งตัวเมือง คะโงะชิมะ 4 กิโลเมตร 

        ซากุระจิมะ เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ ปัจจุบันยังคงมีควันลอยออกมาจากปล่องอยู่เสมอ เมื่อต้นซากุระจำนวน 3,000 ต้นของที่นี่ผลิดอก ผู้คนจำนวนไม่น้อย จะเดินทางมาเพื่อนั่งชมดอกซากุระ บนสนามหญ้าของสวนสาธารณะ แห่งนี้ นอกจากนั้นภายในสวนยังมีหุ่นจำลองไดโนเสาร์ 7 ชนิด ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่เด็กๆ ต่างชื่นชอบ 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระที่สวนไดโนเสาร์ ซากุระจิมะ คือ ในช่วงระหว่างปลายเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายนของทุกๆปี 

        การเดินทาง : โดยเรือเฟอรี่ซากุระจิมะ จากท่าเรือคะโงะชิมะฮงโค (ใกล้สถานีรถไฟ JR คะโงะชิมะ) 15 นาที 

สถานที่ชมดอกซากุระ
        บริเวณรอบๆปราสาทคุมะโมะโตะ (Kumamoto Castle) Photo By iku 

        บริเวณรอบๆปราสาทคุมะโมะโตะ (Kumamoto Castle) 
สถานที่ชมดอกซากุระบานในเมืองคุมะโมะโตะ (Kumamoto City) จังหวัดคุมะโมะโตะ (Kumamoto Prefecture) โดยปราสาทถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 400 ปีก่อน เป็น หนึ่งในสามปราสาท ที่มีแนวรั้วกำแพงหินที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น 

        เมื่อถึงฤดูชมดอกซากุระจะเปิดให้เข้าชมในเวลากลางคืนด้วย จึงสามารถเพลิดเพลินกับการชมดอกซากุระยามราตรี หากท่านได้เดินชมตัวปราสาทที่ฉาบแสงไฟ และดอกซากุระยามราตรี ไปตามถนนที่ประดับด้วยโคมไฟแล้ว ท่านจะได้ลิ้มรสกับความสุขที่ยากจะหา ใดเปรียบเชิญรับชมภาพของ "ปราสาทคุมะโมะโตะ" 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระที่ปราสาทคุมะโมะโตะ คือ ในช่วงปลายเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายนของทุกๆปี 

        การเดินทาง : ขึ้นรถโดยสารประจําทางจาก สถานีรถไฟ JR คุมะโมะโตะ 15 นาที 

สถานที่ชมดอกซากุระ

        สะพานคินไตเคียว (Kintai Bridge) Photo By k-kabegami.com 

        สะพานคินไตเคียว (Kintai Bridge) สถานที่ชมดอกซากุระบานในเมืองอิวะกุนิ (Yamaguchi City) จังหวัดยะมะงุจิ (Yamaguchi Prefecture) เป็นสะพานที่มีรูปร่างแตกต่างจากสะพานทั่วไป ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสาม สะพานที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น เมื่อย่างเข้าเดือนเมษายนบริเวณรอบๆสะพานแห่งนี้จะเต็มไปด้วยสีชมพูของดอกซากุระ 

        นอกจากนี้แล้วงานเทศกาลชมดอกซากุระแห่งสะพานคินไตเคียว จัดขึ้นในช่วงต้นเดือนเมษายนของทุกปี ซึ่งได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ในช่วงฤดูชมดอกซากุระยามค่ำคืนจะมีการประดับแสงไฟด้วย กิจกรรมที่ พลาดไม่ได้สำหรับที่นี่คือ การล่องเรือชมสะพานคินไตเคียว และดอกซากุระที่บานสะพรั่ง 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระที่สะพานคินไตเคียว คือ ในช่วงระหว่างต้นเดือนเมษายน-กลางเดือนเมษายนของทุกๆปี 

        การเดินทาง : ขึ้นรถโดยสารประจำทางจากสถานีรถไฟ JR อิวะกุนิ หรือสถานีรถไฟ JR ชินอิวะกุนิ 15 นาที 


        สวนสาธารณะทสุรุยะมะ (Tsuyama Park) Photo By okayama-ken/machi-jiman 

        สวนสาธารณะทสุรุยะมะ (Tsuyama Park) สถานที่ชมดอกซากุระบานในเมืองทสุยะมะ (Tsuyama) จังหวัดโอะกะยะมะ (Okayama Prefecture) ในอดีตสวนสาธารณะแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของปราสาททสุยะมะ ปัจจุบันยังคงเหลือ แนวกำแพงหินที่สวยงามให้นักท่องเที่ยวได้ชม หลายคนกล่าวว่า ที่นี่เป็นสถานที่สำหรับชมดอกซากุระที่สวยงามที่สุด ในแถบภาคตะวันตกของญี่ปุ่นในแต่ละปีเมื่อถึงฤดู 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระที่สวนสาธารณะทสุรุยะมะ (Tsuyama Park) คือ ในช่วงระหว่างต้นเดือนเมษายน - กลางเดือนเมษายนของทุกๆปี 

        การเดินทาง : เดินจากสถานี JR ทสึยะมะ 10 นาที 



        สวนสาธารณะชิโรยามะ (Shiroyama Park) Photo By shyama 

        สวนสาธารณะชิโรยามะ (Shiroyama Park) สถานที่ชมดอกซากุระบานในเมืองมะสึยะมะ จังหวัดเอะฮิเมะ นอกจากจังหวัดเอะฮิมะจะเป็นที่รู้จักในเรื่อง บ่อน้ำพุร้อนโดโงะ แล้ว ดอกซากุระของปราสาทมะทสุยะมะ มีชื่อเสียงใน เรื่องความงดงามด้วย ในงานเฉลิมฉลองฤดูใบไม้ผลิของมะทสุยะมะนอกจากท่านจะได้ชมดอกซากุระแล้ว ยังจะได้ชมการจำลองจัดขบวนทัพของเหล่านักรบ ที่มีชื่อว่า "ไดเมียวเกียวเร็ตทจึ" และการแข่งขันเล่น "ยาคิวเค็ง" ระดับประเทศด้วย 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระ คือ ปลายเดือนมีนาคม - ต้นเดือนเมษายน 

        การเดินทาง : ลงรถไฟสาย อิโยะเท็ตสึโด ที่สถานีไคโคโต แล้วต่อรถกระเช้าขึ้นไปอีก 3 นาที 

สถานที่ชมดอกซากุระ

สถานที่ชมดอกซากุระ
        ปราสาทฮิเมะจิ เมืองฮิเมะจิ Photo By puhi5963 

        ปราสาทฮิเมะจิ สถานที่ชมดอกซากุระบานในเมืองฮิเมะจิ จังหวัดเฮียวโงะ วัดโฮริวหยิที่นาราและปราสาทฮิเมะจิแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งแรกในประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี ค.ศ.1993 ภายในตัว ปราสาทนอกจากจะมีทรัพย์สมบัติของชาติ และมรดกทางวัฒนธรรมที่ล้ำค่าเก็บรักษาอยู่แล้ว ยังมีตำนานและเรื่องเล่าหลงเหลืออยู่อีกมากมาย ปราสาท "ฮิเมะจิ" ถูกขนานนามว่า เป็นปราสาทมีความงดงามที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ในช่วงต้นเดือนเมษายนของทุกปี จะมีการจัดงานชมซากุระ มีการบรรเลงเครื่องดนตรีโกโตะ (จะเข้ญี่ปุ่น) และกลองไทโคะด้วย 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระ คือ ต้นเดือนเมษายน - กลางเดือนเมษายน 

        การเดินทาง : เดินจากสถานีรถไฟ JR ฮิเมจิ 15 นาที 

สถานที่ชมดอกซากุระ

สถานที่ชมดอกซากุระ
        โรงกษาปณ์ เมืองโอซาก้า (Sakura no Torinuke) Photo By givancy 

        โรงกษาปณ์ เมืองโอซาก้า (Sakura no Torinuke) สถานที่ชมดอกซากุระบานในเมืองโอซาก้า จังหวัดโอซาก้า เนื่องจากบุคคลทั่วไปสามารถเข้ามาในโรงกษาปณ์ เพื่อชื่นชมความงามของดอกซากุระตามทางเดินริมน้ำ ที่มีชื่อว่า "ซากุระโนะโทโอรินุเคะ" ได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ในหนึ่งปีเท่านั้น จึงทำให้ผู้คนต่างหลั่งไหลกันมาถึงปีละล้านกว่าคน ที่พลาดไม่ได้คือ การเดินผ่านถนนที่มีดอกซากุระปกคลุมอยู่ด้านบนเต็มไปหมด คล้ายกับกำลังเดินผ่านอุโมงค์ ดอกซากุระ ในยามค่ำคืนก็จะมีการประดับไฟอย่างงดงาม ท่านสามารถเข้าชมได้จนถึงเวลา 3 ทุ่ม 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระ คือ ต้นเดือนเมษายน - กลางเดือนเมษายน 

        การเดินทาง : เดินจากสถานีรถไฟใต้ดินเทมมาบาชิ 10 นาที 

        สวนนิชิดนะมะรุเทเอ็ง ภายในสวนสาธารณะปราสาทโอซาก้า สถานที่ชมดอกซากุระบานในเมืองโอซาก้า จังหวัดโอซาก้า สวนนี้ตั้งอยู่ภายในอาณาเขตของปราสาทโอซาก้า ซึ่งเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว ภาย ในสวนมีซากุระกว่า 600 ต้น เมื่อเข้าสู่ฤดูชมดอกซากุระ ที่นี่จะคับคั่งไปด้วยบรรดาคุณพ่อคุณแม่ที่หอบลูกจูงหลานมาเที่ยว เฉพาะในช่วงฤดูชมซากุระเท่านั้น ที่จะมีการประดับโคมไฟกระดาษกว่า 200 อัน เพื่อให้นักท่องเที่ยว สามารถชื่นชมปราสาทโอซาก้า และดอกซากุระในยามค่ำคืนได้ 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระ คือ ปลายเดือนมีนาคม - ต้นเดือนเมษายน 

        การเดินทาง : เดินจากสถานีรถไฟใต้ดิน ทานิมาจิยนโจเมะ 15 นาที 

สถานที่ชมดอกซากุระ

สถานที่ชมดอกซากุระ
        วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu) Photo By senha 

        วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu) สถานที่ชมดอกซากุระบานในเมืองเกียวโต จังหวัดเกียวโต วัด คิโยมิสึ เป็นสัญลักษณ์ของ "เกียวโต" เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อราว 1,200 ปีก่อนปัจจุบัน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในฤดูชมซากุระกลีบดอกจากต้นซากุระที่มีอยู่กว่า 1,000 ต้น ในวัดแห่งนี้จะโปรยปรายลงมาอย่างสวยงาม ในช่วงที่ดอกซากุระบานทางวัดจะประดับไฟยามค่ำคืนเป็นเวลา 1 เดือน ท่านสามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่สวยงาม ของ "ลานคิโยมิสึบุโด" และ "หอ 3 ชั้น" ที่ถูกปกคลุมไปด้วยดอกซากุระ 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระ คือ ปลายเดือนมีนาคม - ต้นเดือนเมษายน 

        การเดินทาง : ขึ้นรถโดยสารประจำทางจากสถานีรถไฟ JR เกียวโต ลงที่ป้าย คิโยมิสึ แล้วเดินต่ออีก 10 นาที 

        ภูเขาโยชิโนะ สถานที่ชมดอกซากุระบานในโยชิโนะ - โจ จังหวัดนารา ที่นี่มีต้นซากุระอยู่ถึง 30,000 ต้น มากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ทั้งยังมีซากุระมากถึง 200 สายพันธุ์ ทำให้สามารถชื่นชมดอกซากุระ ได้ตลอดเดือนเมษายน พื้นที่บนภูเขานั้นถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน แต่ละส่วน จะมีช่วงที่ดอกซากุระบานไม่พร้อมกัน ของฝากที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ ขนมที่มีส่วนผสมของดอกและใบซากุระ 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระ คือ ต้นเดือนเมษายน - ปลายเดือนเมษายน 

        การเดินทาง : ใกล้สถานีรถไฟ โยชิโนะ (รถไฟคินเท็ตสึ สายโยชิโนะ) 
เรียบเรียงบทความโดย Travel.Thaiza.com (ท่องเที่ยวไทยซ่าส์) 
ขอบคุณแหล่งข้อมูล..yokosojapan.org

มหาพีระมิดกีซ่า





มหาพีระมิดกีซ่า
• มหาพีระมิดกีซ่า (Giza Plateau) : 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
• สถานที่ตั้ง : เมืองกีเซ่ห์
• ผู้ที่สร้าง : กษัตริย์คีออปส์(CHEOPS) หรือคูฟู (Khufu), กษัตริย์คาเฟร (Khafre) และกษัตริย์คูเร (Menkaure)
• ปีที่สร้าง : ประมาณ 4,500 ปีมาแล้วครับ
• ค่าเข้าชม : 50 ปอนด์ (ประมาณ 300 บาท)
• พีระมิดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์อียิปต์โบราณ ชาวอียิปต์ในสมัยนั้นเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย ดังนั้นจึงต้องแน่ใจว่ากษัตริย์ของพวกเขาจะทรงมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับโลกหน้า พวกเขาได้ฝังทรัพย์สินและสิ่งของส่วนพระองค์ไปพร้อมกัน สิ่งที่นักโบราณคดีค้นพบเป็นจำนวนมากในห้องเก็บสมบัติของปิรามิดได้แก่เพชรพลอย อาหาร เครื่องเรือน เครื่องดนตรี และอุปกรล่าสัตว์
• พีระมิดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกได้แก่ พีระมิดเห่งเมืองกีซ่า (เมืองกีเซห์) ซึ่งเป็นที่บรรจุพระบรมศพของกษัตริย์คีออปส์(CHEOPS) หรือ คูฟู ซึ่งพระองค์เป็นผู้สร้างขึ้นเองเมื่อก่อนคริสตกาลประมาณ 25,800 ปี นับอายุจนถึงปัจจุบันก็กว่า 4,500 ปี ถือเป็นพีระมิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่กลางทะเลทราย พีระมิดแห่งนี้เดิมสูง 481.4 ฟุต แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 450 ฟุต ฐานกว้าง 768 ฟุต ใช้หินทรายตัดเป็นแท่งรูปสามเหลี่ยมหนักประมาณก้อนละ 2 ตันครึ่ง บางก้อนหนักถึง 16 ตัน โดยการนำเอามาซ้อนกันขึ้นไปเป็นทรงกรวย เชื่อกันว่าพีระมิดองค์นี้จะทนแดดทนฝนอยู่ได้อีกนานกว่า 5,000 ปี และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของยุคโบราณสิ่งเดียวเท่านั้นที่มีอายุยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน
• พีระมิดแห่งกีซ่าประกอบด้วย
1.พีระมิดคูฟู (Khufu) หรือ มหาพีระมิดแห่งกิซ่า (The Great Pyramid of Giza) ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่ยังคงเหลืออยู่ในปัจจุบัน มีขนาดใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า
2.พีระมิดคาเฟร (Khafre) ตั้งอยู่ตรงกลางของพีระมิดทั้ง 3 และสร้างอยู่บนพื้นที่สูง ทำให้ดูเหมือนมีขนาดใหญ่ที่สุด และมีบางคนเข้าใจผิดว่าพีระมิดคาเฟรคือมหาพีระมิดแห่งกิซ่า ทางทิศตะวันออกของพีระมิดคาเฟรมี มหาสฟิงซ์(The Great Sphinx of Giza) หินแกะสลักขนาดมหึมาที่มักปรากฏในภาพถ่ายคู่กับพีระมิดคาเฟร
3.พีระมิดเมนคูเร (Menkaure) ขนาดเล็กที่สุดและเก่าแก่น้อยที่สุดในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า จากตำแหน่งการก่อสร้างทำให้คาดได้ว่า เดิมอาจตั้งใจสร้างให้มีขนาดใกล้เคียงพีระมิดคูฟู และพีระมิดคาเฟรแต่ในที่สุดก็สร้างในขนาดที่เล็กกว่า พีระมิดเมนคูเรมักปรากฏในภาพถ่ายพร้อมกับหมู่พีระมิดราชินีทั้ง 3 (The Three Queen's Pyramids)
• การสร้างพีระมิด เกิดจากแรงศรัทธาแลกกับอาหารและเสื้อผ้า
• การสร้างพีระมิด สร้างโดยแรงงานมนุษย์กับเครื่องมือธรรมดาๆในการก่อสร้างเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น ผู้ที่สร้างปิรามิดไม่ใช่พวกทาส แต่เป็นช่างฝีมือและชาวนาที่อยู่ว่างในระหว่างที่น้ำจากแม่น้ำไนล์ท่วมพื้นที่ทำการเกษตรของตน แม้ว่าประชาชนนับพันๆคนที่มาช่วยสร้างปิรามิดจะทำงานเพื่อแลกกับอาหารและเสื้อผ้า แต่ทุกคนก็ต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างที่ฝังพระศพของกษัตริย์ที่พวกเขานับถือเป็นเทพเจ้า
• สฟิงซ์อียิปต์ เป็นการผสมกันระหว่างมนุษย์กับสิงโต ส่วนหัวที่เหมือนมนุษย์นั้น มีสัญลักษณ์ของฟาโรห์อียิปต์แสดงไว้คือมีเคราที่คาง ตรงหน้าผากมีงูแผ่แม่เบี้ยและมีเครื่องประดับ รัดเกล้าแบบกษัตริย์
รูปสลักสฟิงซ์ของอียิปต์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ มหาสฟิงซ์ (The Great Sphinx of Giza) บริเวณใกล้กับพีระมิดคาเฟร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ หมู่พีระมิดแห่งกิซ่า (Giza Pyramid Complex)
• หน้าที่ของสฟิงซ์ : สฟิงซ์เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของกษัตริย์ หรือเป็นสัตว์ที่มีชาญฉลาดและมีพลังเพื่อปกป้องพระศพและทรัพย์สมบัติภายในพีรามิด
• สฟิงซ์ยักษ์แห่งกีซ่า ถือเป็นสฟิงซ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แกะสลักจากหินก้อนขนาดมหึมาเพียงก้อนเดียว โดยมีความยาวของลำตัวที่ 73.5 เมตร สูง 21 เมตรใบหน้ามีความยาว 5 เมตร จมูกยาว 2 เมตร ส่วนเคราไม่สามารถระบุตัวเลขของขนาดได้ ปัจจุบันนี้เคราและจมูกของสฟิงซ์ยักษ์ตัวนี้ ถูกแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ BRITISH MUSEUM กรุงลอนดอน ส่วนลำตัวของสฟิงซ์ มีรอยผุกร่อนอย่างชัดเจนทั้งจากสภาพภูมิอากาศอันเลวร้ายในทะเลทรายและพายุทรายพัดกระหน่ำทับถมอยู่เป็นประจำ และเนื่องจากถูกแม่น้ำไนล์ ซึ่งเป็นฤดูน้ำหลากในอดีตท่วมมาถึงครึ่งตัว กัดกร่อนให้บริเวณฐานเสียหายและเหลือร่องรอยการแช่น้ำ ทำให้ปัจจุบันนี้สฟิงซ์ยักษ์อยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์เท่าไรนัก แต่ก็สามารถมองภาพความยิ่งใหญ่ในอดีตได้จากสิ่งที่ยังเหลืออยู่


ขอบคุณจาก www.oknation.net/blog/oleang/2012/04/01/entry-2

ประวัติความเป็นมาของผีมัมมี่ Mommy

ประวัติความเป็นมาของผีมัมมี่ Mommy


ghostmummy02 
                  มัมมี่ ( Mummy)
  คือศพที่ดองหรือแช่ในน้ำยาพิเศษในประเทศอียิปต์พันทั่วทั้งร่างกายด้วยผ้าลินินสีขาว เพื่อเป็นการรักษาสภาพของศพเพื่อรอการกลับคืนร่างของวิญญาณผู้ตาย ตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ คำว่า “มัมมี่” มาจากคำว่า “มัมมียะ” (Mummiya) ซึ่งเป็นคำในภาษาเปอร์เซีย มีความหมายถึงร่างของซากศพที่ถูกดองจนกลายเป็นสีดำ โดยชาวอียิปต์โบราณจะทำมัมมี่ของฟาโรห์และเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ และนำไปฝังในลักษณะแนวนอนภายใต้พื้นแผ่นทรายของอียิปต์ อาศัยแรงลมที่พัดผ่านในแถบทะเลทรายอาระเบียและทะเลทรายในพื้นที่รอบบริเวณของอียิปต์ เพื่อป้องกันการเน่าเปื่อยของซากศพที่อาบด้วยน้ำยา
ในอียิปต์โบราณมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตหลังความตาย เกี่ยวกับการหวนกลับคืนร่างของวิญญาณ โดยมีความเชื่อว่าเมื่อวิญญาณออกจากร่างไปชั่วระยะเวลาหนึ่งจะหวนกลับคืนสู่ร่างเดิมของผู้เป็นเจ้าของ จึงต้องมีการถนอมและรักษาสภาพของร่างเดิม โดยการแช่และดองด้วยน้ำยาบีทูมิน ซึ่งจะช่วยรักษาและป้องกันไม่ให้ซากศพเน่าเปื่อยผุผังไปตามกาลเวลา
เมื่อมีคนตายก็จะนำศพไปฝังไว้ในทะเลทรายอันร้อนระอุ ความร้อน และความแห้งแล้งทำให้ร่างกายแห้งอย่างรวดเร็ว โดยที่แบคทีเรียไม่มีโอกาสได้ย่อยสลายศพเสียก่อน จึงกลายเป็นมัมมี่ไปตามธรรมชาติ คงจะมีการค้นพบโดยบังเอิญถูกฝังตามธรรมดาโดยมิได้มีการตบแต่งทำให้ไม่มีการย่อยสลายแต่อย่างไร แต่ศพที่กลายเป็นมัมมี่ไปตามธรรมชาติก็อยู่รอดมาให้ค้นพบได้ในสมัยปัจจุบัน
ขอบคุณจาก neutron.rmutphysics.com

ประวัติไซอิ๋ว

ประวัติไซอิ๋ว


เห้งเจีย หรือ หงอคง เป็นเทพ ตามพงศาวดารจีนเรื่องไซอิ๋ว ซึ่งกล่าวถึงลิงตัวหนึ่งที่เกิดจากหิน บนยอดภูเขา “จิ่วหัวซัน” มีความเก่งกล้าสามารถมาก มีอาวุธวิเศษในมือ คือกระบองที่ยืดได้ จนไปถึงเทียมฟ้าสวรรค์ และ สามารถหดได้ เหลือเพียงอันเล็กๆ ที่สามารถพกพาไปไหนต่อไหนได้ และยังมีพาหนะคู่ใจคือก้อนเมฆ “คินตอน”

หงอคงมีนิสัยพาลเกเร วันหนึ่งขึ้นไปอาละวาดบนสวรรค์ สร้างความปั่นป่วนแก่บรรดาเทพเจ้าบนสวรรค์เป็นอย่างมาก เง็กเซียนฮ่องเต้เห็นว่าหงอคงคงจะว่างเกินไป จึงมอบหมายหน้าที่ให้เป็นคนดูแลม้าในสวรรค์ หงอคงโกรธมาก ที่เห็นว่าตนได้เพียงตำแหน่งเล็กๆ จึงได้ฆ่าม้าตายหมดทุกตัว เง็กเซียนฮ่องเต้พิโรธมาก จึงรับสั่งให้ขุนพลสวรรค์ มาตามจับตัวเห้งเจียไปลงโทษ แม้กระทั่ง นาจา ผู้เก่งกาจของขุนพลสวรรค์ก็ยัง ไม่สามารถเอาชนะหงอคงได้ เง็กเซียนฮ่องเต้ต้องยอมอ่อนข้อให้ และยกตำแหน่งให้เป็น ฉีเทียนไต่เสี่ย หรือ ผู้ยิ่งใหญ่เท่าฟ้า มีหน้าที่ดูแล สวนลูกท้อบนสวรรค์ ในที่สุดหงอคงก็ป่วนสวรรค์ จนวุ่นวายอีกครั้ง โดยการแอบกินลูกท้อสุกจนหมดสวน ดื่มสุราสวรรค์ ขโมยยาอายุวัฒนะของเทพเจ้าดาวพระศุกร์กินจนหมดห้อง เมื่ออับจนหนทาง สวรรค์ต้องขอพึ่งบารมี พระพุทธเจ้า มาช่วยปราบ หงอคงก็หาได้กลัวไม่ หงอคงอ้างว่าเง็กเซียนฮ่องเต้สู้ตนไม่ได้เอง ดังนั้นตน ก็มีสิทธิที่จะ ครอบครองสวรรค์ องค์พระพุทธเจ้า จึงตรัสแก่หงอคงว่า “เอ้า เจ้าอวดว่าฤทธิ์มากนัก เอาอย่างนี้ ขึ้นมาบนพุทธหัตถ์ ของเราตถาคตนี่ ถ้าเจ้ากระโดดออกไปพ้นฝ่ามือเราได้ เราก็จะเจรจากับ เง็กเซียนฮ่องเต้ ให้ยอมให้เจ้า ครองสวรรค์ต่อไป” หงอคงก็หัวเราะ จึงตอบพระองค์ไปอย่างสุดแสน ที่จะจองหองว่า "ฮ่าๆ ไม่ ต้องออกไปแค่พ้นอุ้งมือ ของท่านแค่นี้หรอก เดี๋ยวจะเหาะไปให้จนสุดขอบโลกเลยทีเดียว ว่าแล้ว หงอคงก็สั่งให้ “ก้อนเมฆกายสิทธิ์” ยานคู่ชีพให้เหาะและ พาไปที่สุดขอบโลกทันที ก้อนเมฆกายสิทธิ์พาหงอคง เดินทางมา ไกลมากโขอยู่ และยังเดินทาง ต่อไปเรื่อย ๆ เพราะไม่มีทีท่าว่าจะหาที่สุดขอบโลกได้เลยสักที แต่เมื่อเหาะ พามาได้ไกลมากพอดู หงอคงก็แลเห็น มีเสาปักอยู่ 5 ต้น เสาทั้ง 5 ได้ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าลิบๆ ด้วยความดีใจ และเข้าใจผิดคิดว่าเสาทั้ง 5 ต้นนั้น คือจุดที่กำหนด บอกถึงที่สุดขอบโลกอย่างแน่นอน คิดเอาว่า คราวนี้ตนชนะแน่แล้ว และเพื่อความรอบคอบ จึงเข้าไปเขียนชื่อ ของตัวเองไว้เป็นที่ระลึกด้วยว่า " หงอคง " หมายให้เป็นหลักฐาน อ้างอิงกับองค์พระพุทธเจ้า และได้เหาะย้อนกลับมาที่เดิมอีกครั้ง องค์พระพุทธเจ้า มิได้ตรัสอะไร ได้แต่ยกพระหัตถ์ ของพระองค์ขึ้นให้หงอคงดู ที่นิ้วพระหัตถ์ ของพระองค์นั้น ปรากฏอักษรคำว่า "หงอคง " ที่หงอคงได้เขียนเอาไว้ ปรากฏหลา ให้เห็นอยู่ แล้วก็ไม่ต้องบอกอะไรก็รู้อยู่แก่ใจว่า ไม่ว่าหงอคง จะเหาะออกไป ให้ไกลแค่ไหน แท้จริงแล้ว มันก็ยังคง บินเหาะอยู่ แต่ในบริเวณ หรือในพระหัตถ์ ขององค์พระพุทธเจ้าแค่นั้นหงอคงเหมือนจนแต้มที่จะโต้เถียงจึงยอมรับผิดและยอมพ่ายแพ้ไปโดยปริยาย จึงโดนลงโทษ และสาปให้ หงอคงอยู่ใต้ภูเขา “โกเคียว” เป็นเวลา 500 ปี โดยตรัสว่าหงอคง จะพ้นโทษได้ก็ต่อเมื่อ มีองค์พระตถาคตองค์หนึ่งธุดงค์ผ่านมาเมื่อเวลาผ่านไป 500 ปี วันหนึ่งก็มีพระตถาคตองค์หนึ่ง จำเป็นต้องเดินทางผ่านมาทางนี้พอดี พระตถาคต องค์นั้นก็คือ “พระถังซัมจั๋ง” หงอคงจึงอ้อนวอนขอให้พระถังซัมจั๋ง ช่วยปลดปล่อยตน แล้วจะยอม เป็นบริวาร ติดตามไปทุกหนทุกแห่ง เพื่อปกป้องคุ้มครอง ให้พ้นจากอันตรายเป็นการตอบแทน พระถังซัมจั๋ง จึงได้ช่วย หงอคงออกมา หงอคงจึงได้ เดินทางไปกับพระถังซัมจั๋ง ระหว่างทางก็มีหัวหน้าหมู่บ้านมาพบ และขอความช่วยเหลือ โดยเล่าว่า ปิศาจหมู (ตือป๊วยก่าย) ลักพาตัวลูกสาวไปเพื่อจะเป็นเจ้าสาว หงอคงจึงไปจัดการ ใช้ไม้กระบองตีจนน่วม จนตือป๊วยก่ายต้องยอมแพ้ และขอออกเดินทางร่วมไปด้วย ทั้งสามจึงออกเดินทางต่อ จนมาถึงแม่น้ำสายหนึ่ง ทั้งสามจำเป็นจะต้องข้ามฟากไป อยู่น้ำในแม่น้ำก็เกิดวนขึ้นมา อย่างประหลาด ด้วยฤทธิ์ของปิศาจซัวเจ๋ง ที่เป็นเจ้าของแม่น้ำสายนั้น ซัวเจ๋งจึงได้ปะทะกับ หงอคงและตือป๊วยก่าย ทั้งสองช่วยกัน ทุบตีซัวเจ๋งจนน่วม ซัวเจ๋งจึงยอมแพ้อย่างราบคาบ และเมื่อทราบถึงสาเหตุว่าทำไม พระถังซัมจั๋ง จึงจำเป็นจะข้ามฟากแม่น้ำไปแล้ว จึงเกิดความศรัทธา ขอร่วมเป็นบริวารและขอติดตามไปด้วยอีกตนหนึ่ง
ระหว่างทาง พระถังซัมจั๋ง และบริวารทั้งสามต่างก็พบกับอุปสรรคมากมายนานัปการ แต่ด้วยแรงศรัทธา และมีบริวารที่เก่งกาจ อย่างหงอคง ตือป๊วยก่าย และซัวเจ๋ง ในที่สุดขบวนของ " พระถังซัมจั๋ง " และบริวาร ก็ได้เดินทางมาได้จนถึง " ชมพูทวีป " และได้อัญเชิญพระ ไตรปิฎกกลับสู่ประเทศจีน ได้อย่างปลอดภัย ตามจุดมุ่งหมาย และหน้าที่อย่างสมบูรณ์ และพร้อมสำเร็จด้วยแรง ศรัทธาสนับสนุนของบริวารทั้งสาม ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็น หรือจัดอยู่ในจำพวก ของปีศาจก็ตาม อย่างน่ายกย่อง และน่าสรรเสริญที่สุดท่านซุนหงอคง บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จมรรคผล กลับคืนสู่ดินแดนสวรรค์ พระนามเต็มของท่านบนดินแดนสวรรค์คือ “เจ้เทียนไต่เส่งปุดจ้อ” ได้รับตำแหน่งเป็นเทพเซียน เฝ้ารักษาด่านสวรรค์ มีอำนาจเทียบเท่าท้าวสักกะเทวราช ตราบจนปัจจุบัน

หน้าที่รับผิดชอบ

เห้งเจีย เป็นเทพที่คนจีนนับถือสืบเนื่องกันตั้งแต่ครั้งโบราณ เพราะ เป็นผู้ประทานความสุข ในฐานะ ผู้กำจัด ปราบปรามปีศาจร้าย จึงนิยม บูชาจะทำให้เป็นผู้ปราศจากสิ่งชั่วร้ายรบกวนมีพลานามัยที่แข็งแรง มีสติปัญญาเป็นเลิศ เฉลียวฉลาด

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

ไซอิ๋ว เป็น นิยายสื่อธรรมะที่ดีมากอันหนึ่งเห้งเจีย คือ ลิงเปรียบเสมือนใจคนเรา คือสามารถคิดไปไกล ได้หลายหมื่นโยชน์ในพริบตาเดียว เมื่อครั้งยังหลงผิดก็อาละวาดทั่วไปทั้งสวรรค์ และมนุษย์ แต่จะคิดไปไกล ขนาดไหน ตีรังกาไปที่ไหนก็เปรียบได้กับ ขันธ์ 5 (ในนิยายเปรียบเสมือนมือทั้ง 5 นิ้ว ของพระพุทธองค์) ครั้นเริ่มสนใจศึกษาธรรมะ ก็ต้องใช้สติ คือมงคลครอบหัวไว้เตือนใจ เวลาจะทำผิด กระบองของเห้งเจีย เปรียบเหมือน ปัญญาเมื่อไม่มีธรรมะ ก็ใช้ในทางผิด เที่ยวรังแกชาวบ้าน เพิ่มพูนกิเลสให้กับตน พอพบ พระถังซำจั๋ง(ธรรมะ) ก็มีสติ(มงคล) และมีเป้าหมายคือไปเอาพระไตรปิฎก(นิพพาน) จึงใช้กระบอง(ปัญญา) ต่อสู้กับ ปีศาจ(กิเลส) ต่างๆ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายของตน ปัญญา เมื่อใช้ก็ทำให้ฉลาด(ยาว) ถ้าไม่ใช้มันก็โง่(สั้น) นอกจากนี้ ในหลายกรณีที่บรรดาสิงสาราสัตว์ แม่น้ำลำธาร ขุนเขา ป่าไม้ อาวุธยุทโธปกรณ์ ฯลฯ ก็เป็นสัญลักษณ์ ทางธรรมอยู่ด้วย                                                


ขอบคุณจาก board.postjung.com › Webboard

เส้นทางสู่ โปรแกรมเมอร์มืออาชีพ

 ประเทศไทย กำลังก้าวเข้าสู่ยุค IT ยุคนี้ทุกคนจะต้องใช้อุปกร์ ทาง IT ไม่ว่าจะเป็น PDA โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย ตอนนี้ก็อยุ่ที่คุณเอง เลือกจะช่วยไห้ประเทศไทย เดินทางสุ่ยุคนี้ไปในทิศทางได มันก็มีอยู่ 2 ทิศทาง คือ ผู้ใช้ กับผู้สร้าง ถ้าเป็นผู้ใช้ นั่นก็หมาย ความว่า ประเทศไทย จะต้องจ่ายเงิน จากระเป๋า เพื่อซื้อ Software เงินก้จะใหลออกนอกประเทศ แต่ถ้าเป็นผู้สร้าง นี่หล่ะคือจุดสำคัญแห่งความยิ่งใหญ่
           ราจะเป็นผู้รับเงินจากต่างประเทศ เอาหละตัสินใจว่าจะช่วยประเทศทางไหน ถ้าคุณเลือกเป็นผู้สร้าง คุณจะต้องเป็น และการที่คุณจะ ไปสู่จุดหมายนั้นคุณ จะต้องทำอย่างไรถึงจะเป็นโปรแกรมเมอร์มืออาชีพ ต้องทำให้ได้ 5 ข้อ ดังต่อ ไปนี้ครับ
1. สำรวจดูว่า ตัวเองมีคุณสมบัติเป็นโปรแกรมเมอร์หรือไม่
2. ฝึกเขียนโปรแกรม
3. ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม
4. เผยแพร่ผลงาน
5. กระทำตามข้อ 1 – 4 อย่างสม่ำเสมอ
          นี่คือ 5 ข้อหลักของโปรแกรมเมอร์ ถ้าหากคุณทำได้ทั้ง 5 ข้อนี้ คุณก็จะได้เป็น  มืออาชีพ เลยทีเดียว เรามาดูรายละเอียดของแต่ละข้อกันเลยดีกว่าครับ ว่ามีราบละเอียดอย่างไรบ้าง

1.สำรวจดูว่า ตัวเองมีคุณสมบัติเป็นโปรแกรมเมอร์หรือไม่

          เรามาสำรวจดูตัวเราก่อนว่า เหมาะสมกับการเป็น โปรแกรมเมอร์ หรือไม่ ลองถามตัวเองดูสิว่า คุณต้องการเป้นโปรแกรมเมอร์ อย่างจริงจังหรือไม่ แล้วถ้าเราไม่ได้จบ คอมพิวเตอร์มาหล่ะ เราเป็นโปแกรมเมอร์ได้หรือไม่ ตรงนี้ ผมเองก็ขอตอบจากความรู้สึก สวนตัวเลยว่า ไม่จำเป็นครับ เราลองทบทวนและ มองโลกให้กว้างครับ ว่าโปรแกรมเมอร์ ที่เก่งๆ หลายคน ไม่ได้จบคอมพิวเตอร์มาโดยตรง และอีกหลายคนก็จบคอมพิวเตอร์มาโดยตรง แต่บางคนจบคอมพิวเตอร์มาโดยตรง ก็เขียนโปรแกรมไม่เป็น เป็นแค่ งูงูปลาปลา ก็ถมไป สาเหตุมาจากอะไรหรือครับ ใจเขาไม่รักกับการเป็น โปรแกรมเมอร์ไงครับ ดังนั้นวุติการศึกษาไม่ใช่อุปสรรค ในการเป็นโปรแกรมเมอร์ครับ
          สาเหตุ ทีผมบอกว่า วุฒิการศึกษา ไม่ใช่อุปสรรคต่อการเป็นโปรแกรมเมอร์ ก็เนื่องจาก ตอนเรายังเด็ก เราไม่ได้เลือกเรียนสายการเรียน ที่เรารักครับ แต่เราเลือกเรียน ตามเพื่อนบ้าง ตามพ่อแม่ผู้ปกครองต้องการบ้าง เพราะในช่วงวัยนั้น เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ มักตามเพื่อน หรือบางคนเรียนเพื่อตามใจพ่อแม่ แต่พอมาถึงวัยหนึ่ง เราก็มารู้ตัวว่าเราไม่ได้ชอบมันเลย ก็ทำให้เราเสียเวลาไปมากแล้ว จะกลับไปเรียน หรือก็ เสียค่าใช้จ่ายมาก แล้วแต่เหตุผล ของแต่ละคนไป ดังนั้นผมจึงขอ แนะนำว่า จงอย่ายึดติดกับค่านิยมของ คำว่าวุติการศึกษา ปริญญา ต่างๆ ทั้งสิ้นหากเราอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ มันอยูที่เราต้องการจะเป็นโปรแกรมเมอร์หรือไม่ต่างหาก รักการเป็นโปรแกรมเมอร์ มากแค่ไหน ก็ทุ่มเทให้กับมันเต็มที่
         คุณมีความเพรียรพยายามหรือไม่ เพราะการเป็นโปรแกรมเมอร์ จพต้องมีความเพรียร ไม่ยอมแพ้ต่อปัญหา ต่างๆ เมื่อเขียนโปรแกรมแล้วติดปัญหา หากคุณเขียนโปรแกรมแล้วติดปัญหา คุณต้องพยายามแก้ไขปัญหาให้ได้ อย่ายอมแพ้เป็นอันขาด หากคุณยอมแพ้ คุณก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ดังนั้น ความเพรียรพยายาม เป็นกติกาสำคัญข้อหนึ่งของโปรแกรมเมอร์เลยทีเดียว ต้องมีความคากเพียรไม่ย่อท้อต่อสิ่งได และจะยอมแพ้ก้ต่อเมื่อ หาหนทางจนสุดกู่แล้วก็ไม่พบ จึงจะยอมแพ้ แต่การยอมแพ้ ต้องยอมแพ้อย่าง โปรแกรมเมอร์ คือ ยอมแพ้ในเวลานั้น เท่านั้น แต่เก็บมันเอาไว้เป้นการบ้าน ค่อยคิดค่อยหาทางแก้ปัญหา มันอีกทีหลังไปเรื่อยๆ มันต้องทำได้สิ สักวันคุณก็จะแก้ปัญหาได้ หมายความว่า ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ ก็อย่าจมอยู่กับมัน แต่ พักมันเอาไว้ก่อนต่างหากหล่ะ สุดท้ายก็แปลว่า ไม่ยอมแพ้นั่นเอง
           โปรแกรมเมอร์จะต้องคิด อย่างที่คนอื่นเขาไม่คิด ทำในสิ่งที่ตนอื่นเขาไม่ทำ หมายความว่า เราต้องคิด ในสิ่งที่คนอื่น คิดไม่ถึง ทำในสิ่งที่คนอื่นเขาทำไม่ได้ เพราะโปรแกรมเมอร์ จะต้องสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ออกมาเสมอ ดังนั้น หากเราคิดแต่จะทำตามคนอื่น ลอกเรียนแบบคนอื่นๆ อยู่ เราก็ไม่สามารถพัฒนาโปรแกรมของเราให้คนอื่น เขารู้สึก ประทับใจ และต้องการได้ เพราะอะไรก็ตามที่ง่ายๆ หลายคนก็มักจะทำกัน หาที่ไหนก็ได้ ราคาและคุณค่าเลยไม่มี แต่ถ้าอะไรที่ยากๆ หายาก ไมาค่อยมีคนทำ หรือไม่มีใตรทำเลย นั่นแหละครับ ของสิ่งนั้นมันจะมีค่า น่าจดจำและประทับใจ
coding 300x226 โปรแกรมเมอร์มืออาชีพ เริ่มต้นที่ตรงนี้

2.ฝึกเขียนโปรแกรม

           เมื่อคุณสำรวจตัวของคุณเองแล้วว่าคุณมีคุณสมบัติตามข้อ 1 คุณก็กระทำตามข้อ 2 ต่อไปนี้ แต่ถ้าคุณยังไม่มีคุณสมบัติตามข้อ 1 มีทางเลือกอยู่ 2 ทาง ครับ ทางที่ 1 คุณก็ควรจะเลิกลมความตั้งใจที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ระดับมืออาชีพได้แล้วครับ เพราะคุณฝืนไปก็เสียเวลาเปล่า เพราะสิ่งที่คุณจะเจอเมื่อเป็นโปแกรมเมอร์ นั้นมันช่างเต้มไปด้วยสิ่งตื่นเต้น และปัญหามากมายเสียเหลือเกิน ล้มคเลิกความคิดเสียเถิด อย่าเป็นมันเลย โปแกรมเมอร์นี่ แต่ถ้าคุณยังมีคว่มต้องการที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์มืออาชีพ อยู่หล่ะก็ ข้อที่ 2 ที่ปมจะแนะนำคือ กระทำตามข้อ 1 ให้สำเร็จครับ เมื่อคุณกระทำสำเร็จ ตุณก็มีคุณสมบัติ พร้อมที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ดังนั้นเมื่อคุณ พร้อมตามคุณสมบัติแล้ว คุณจะต้องกระทำ ข้อนี้ครับ
           ฝึกฝนตัวเองให้เก่งกล้าสามารถ ครับ โดยการฝึกเขียนโปแกรม แล้วจะเขียนโปแกรมภาษาอะไรดี นี่ไง ที่โปรแกรมเมอร์ หลายคนต่อหลายคนเจอปัญหา แล้วไปไม่ถึงฝัน เพราะทุดคนคิดแต่เพียงว่า อะไรที่ง่ายๆ นี่หล่ะ ทำตรงนี้หละ ถ้าคิอย่างนี้เหมะสมกับอาชีพอื่นครับไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จเป็น โปรแกรมเมอร์ เพราะจะใช้คำว่า เริ่มต้นจากสิ่งที่ง่ายไปหายาก นั้นผิดครับ สำหรับการเป็นโปแกรมเมอร์ เพราะมันจะทำให้เรายึดติดและท้อถอยง่ายๆ เมือเจอปัญหา ดังนั้นคุณควรเลือกเรียนภาษา ที่ยากๆ ไว้ก่อน เพราะว่าภาษาคอมพิวเตอร์ อะไรก็ตามที่ยากๆ เขียนยาก ย่อมเข้าไกล้ภาษาเครื่องมากที่สุด เพราะการเขียนโปรแกรมนั้น เป็นการเขียนโปรแกรมเพื่อบอกให้คอมพิวเตอร์ ทำงานตามเรา ดังนั้น การเข้าถึงและเข้าไกล้ภาษาเครื่องมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้คอมพิวเตอร์ เข้าใจมากเท่านั้น
          แล้วจะใช้ภาษา อะไรดี ขอแนะนำดังนี้ครับ ภาษาที่ ทีเครื่องมือ แบบ Visual ช่วยเยอะแยะไปหมด ย่อมมีขีดจำกัดของมัน ภาษาที่มีเครื่องมือแบบ Visual น้อย ก็จะลดขีดจำกัดลงได้ครับ ดังนั้นขอแนะนำภาษา จากยากไปหาง่าย เพียงบางตัวดังนี้ครับ Assembly, C++, C++ Builder, C# Builder, Visual C++, Visual C#, Delphi7,Pascal, Delphi8 for .Net, Visual Basic.Net, Visual Basic เป็นต้น จะสังเกตุเห็นว่า Assembly เป็นภาษาที่เข้าไกล้ภาษาเครื่อง มากที่สุด เขียนยาก ไม่มี Tools ช่วย ต่อมา เป็น C++ เขียนง่ายขึ้นมาหน่อย แต่ไม่มี Tools ช่วย ต่อมา เป็น C++ Builder ก็เขียนว่าย ขึ้นมาอีกนิด มี Tools ช่วยพอประมาณ ต่อมาเป็น C# Builder ก็มี Tools ช่วยมากมาก เขียนง่ายเข้าไปอีกระดับ จนสุดท้าย Visual Basic โอ้พระเจ้า Tools เพียบ เขียนง่ายมากๆ แค่ เขี่ยๆ ก็เสร็จแล้วครับ งายจริงๆ ไม่ต้องใช้สมองในการคิดเลย ช่วยให้เราเบาสมองไปได้เยอะ และทำให้สมองเราไม่ได้ใช้งาน เป็นใงครับ เมือสมองไม่ได้ใช้งาน ก็สมองตื้อสิครับ
           ทีนี้ ก็เป็นอันว่า เลือกเอาภาษาที่คุณชอบ แต่ อย่าทิ้งภาษาอื่นนะครับ เพราะภาษา ง่ายๆ นี้ก็ยังช่วยเราได้เยอะเช่น ความต้องการของโปรแกรมแบบ ง่ายๆ ก็ใฝช้ภาษาง่ายๆ เขียน ทุ่นเวลาดี ดังนั้น ขอแนะนำให้ฝึกทุกตัว แต่ ยึดภาษายากๆ เป็นหลักไว้ 1 ตัว เพื่อสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ คุณควรฝึกเขียนโปรแกรมอย่าง สม่ำเสมอ ครับ จะได้คล่อง และควรเริ่มฝึกจากถาษา ยากๆ เป็นอันดับแรก ฝึกฝนจนชำนาญ อย่าละทิ้งนะครับ
searcher 300x300 โปรแกรมเมอร์มืออาชีพ เริ่มต้นที่ตรงนี้

3.ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม

           หลังจากที่คุณผ่าน ข้อ 1 และข้อ 2 มาแล้ว ข้อ 3 นี้เป็นข้อที่คุณขาดไม่ได้เลยทีเดียว เนื่องจากการที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ระดับมืออาชีพนั้น ก็คือการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม อยู่เสมอ โปรแกรมเมอร์ จะต้องเป็นคนที่ไม่หยุดนิ่ง จะต้องเพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหากเราหยุดนิ่ง เราจะตามโลกไม่ทัน เพราะเทคโนโลยีทุกวันนี้ ก้าวไกลและรวดเร็ว เสียเหลือเกิน หากเราหยุดเดินเพียงก้าวเดียว เราอาจตามโลกไม่ทัน อีกหลายพันก้าว เลยทีเดียว ดังนั้นการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม จึงเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง เพราะในโลกนี้ ไม่มีใคร เก่งที่สุด และเก่งไปหมดทุกอย่าง ดังนั้น ความรู้ เปรียบดังอาวุธ เอาไว้ต่อสู้กับความไม่รู้ ข้อมูลคือมูลเหตุแห่งความรู้ เราจงค้นหาข้อมูล มาเพิ่มเติมความรู้ให้กับตัวเราเองเถิด
            การที่เราค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมอยู่เสมอนั้น ไม่ใช่แค่เป็นการเพิ่มพูนความรุ้เท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ไขปัญหา เกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมของเราด้วย เนื่องจากการเขียนโปรแกรมทุกครั้ง เราขะต้องติดปัญหาเสมอ รับรองได้ ไม่มีโปรแกรมเมอร์คนใด ที่เขียนโปรแกรมโดยไม่มีติดปัญหาเลย จะต้องมี ดังนั้น เราจึงต้องค้นหาข้อมูลเข้ามาช่วยแก้ไข ดังที่ว่า ไม่มีใครเก่งไปทุกอย่าง เราเก่งจุดหนึ่ง อีกคนเก่งจุดหนึ่ง เมื่อนำมารวมกัน ก็จะขจัดความไม่เก่ง ของแต่ละคนได้ ก็จะขจัดปัญหาได้ โดยการแลกเปลี่ยน ความรู้ซึ่งกันและกัน ปัญหาต่างที่พบก็จะคลี่คลายลงได้ แต่ถ้ามัวแต่คิดอยู่คนเดียว หัวของคุณอาจระเบิดตูม ขึ้นมาก็ได้ จริงไหมครับ
            นอกจากเป็นการช่วยแก้ปัญหาในการเขียนโปรแกรมแล้ว การคนหาข้อมูลเพิ่มเติมอยู่เสมอ ยังช่วยให้เรารุ้ความต้องการของโลกปัจจบัน ว่าต้องการอะไร ขาดอะไร เราสามารถนำความต้องการเหล่านั้น มาพัฒนาเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ด้วยฝีมือของเราเอง ออกสู่ท้องตลาดได้ หากเราผลิตผลงานที่ไม่ตรงกับความต้องการของมนุษย์ แน่นอน ผลงานนั้น ย่อมไม่มีค่า และไม่มีความหมายใดๆ เลย เพราะความรู้ จะนำเราไปสู่โลกแห่งความจริง และมองออกถึงโลกอนาคต เพราะคุณจะกลายเป้นคนที่รู้จักวิเคราะห์ หาเหตุ และ ผล แห่งความเป็นไป เราจึงรู้ได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้น และ จะต้องทำอะไรต่อไป เมื่อเรารู้ เราก็ย่อมจะผลิต ผลงานการเขียนโปรแกรมที่มีคุณภาพ ออกสู่ท้องตลาด อย่างตรงจุดประสงค์ และกลุ่มเป้าหมายได้
            แล้ว… แหล่งค้นคว้าข้อมูลหล่ะ อยู่ที่ไหน ตรงนี้ มีเต็มไปหมดเลยครับ อันได้แก่ หนังสือวารสาร ต่างๆ หนังสือวิชาเฉพาะด้าน มากมายเต็มไปหมดเลย ทางรายการตาม สถาณีวิทยุ โทรทัศน์ ก็มี สารคดีต่างๆ แม้กระทั่งสื่อ CD-ROM ต่างๆ และที่ค้นหาข้อมูล ได้อย่างมหาศาล ก็คือ Web site ใงครับ เป็นแหล่งค้นหาข้อมูลที่ยิ่งใหญ่ เหมือนกัน และโดยมากแล้ว จะเป็นข้อมูลที่มีการ Update บ่อย และเป้นข้อมูล Share จากประสบการณ์ ของกลุ่ม โปรแกรมเมอร์ ด้วยกัน ดังนั้นเราก็รู้แล้วว่า แหล่งจ้อมูลมีมากมาย สุดแล้วแต่ที่เราจะหาได้ ใครชอบแบบใหน ก็เอาอย่างนั้นครับ แต่ผมว่า ค้นหาข้อมูลทุกรูปแบบ ครับดีกว่าหาข้อมูลจากแหล่งเดียว จะได้นำข้อมูลมาเปรียบเทียบกัน วิธีการเลือกซื้อหนังสือ ก็เหมือนกัน พยายาม เลือกซื้หนังสือที่เหมาะสม และน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะ หนังสือแปล ที่แปลมาจากหนังสือภาษาต่างประเทศ ต้องดุให้แน่ใจว่า ผู้แปล หนังสือเล่มนั้น ต้องเป็น โปรแกรมเมอร์ ไม่ใช่นักแปลภาษาอังกฤษ เพราะ ศัพท์ บางคำ ที่เป็นภาษาของโปรแกรมเมอร์ ไม่ได้มีความหมาย ตรงกับความหมาย ของนักแปลภาษาทั่วไป ผมเห็นหลาย ต่อหลายเล่ม ที่แปลผิด น่าสงสาร แม้กระทั่ง ครูผู้สอนเองยังนำเอาสิ่งผิดๆ นั้นไปสอนนักเรียน ต่ออีก แล้วเมื่อไร เราจะได้โปรแกรมเมอร์ที่รุ้จริง อย่างที่ผมเห็นมา การแปล เรื่อง Object และ Class ดันไปแปลว่า Class คือพิมพ์เขียว พิมพ์เขียวอะไรกัน มั่วกันไปใหญ่ นักเรียน ตามมหาวิทยาลัย ก็นำเอาความรู้ที่ผิดๆ นัน มาใช้กัน จนชั่วลูกชั่วหลาน แล้วเมื่อไร คนไทยจะมีโปรแกรมเมอร์ระดับ มืออาชีพ เก่งๆ กับเขาสักที อย่างนี้แหละ ที่ผมจะบอกว่า อย่าเชื่อหนังสือมากนัก จงเชื่อโปรแกรมเมอร์ดีกว่า ครับ แล้วเราจะได้ไม่เสียดาย เงินที่ซื้อหนังสือ จะซื้อที ต้องได้หนังสือดีมีคุณค่า จริงใหมครับ
programer professional 300x200 โปรแกรมเมอร์มืออาชีพ เริ่มต้นที่ตรงนี้

4.เผยแพร่ผลงาน

           เมื่อเรามีผลงานของเราออกมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ เผยแพร่ผลงาน ออกสู่ สาธานณะชน เพื่อให้คนอื่นได้เห็น ได้สัมผัสกับผลงานของเรา หากเราไม่นำผลานของเราออกเผยแพร่สู่สายตา ของคนอื่น แล้วเขาจะรู้ไหมครับว่าเราเขียนโปรแกรมเป็น มีฝีมือขนาดไหน การเผยแพร่ผลงานนี่แหละ มีประโยชน์ที่สุด เพราะการที่เรามีผลงานเผยแพร่ออกไป ให้หลายคนเห็น หลายคนรู้ ต่อไปคุณก็จะมีชื่อเสียง มีหลายคนรู้จัก อีกไม่นาน งานและเงิน จะมาหาคุณเองโดยที่คุณแทบตั้งตัวไม่ติดเลยทีเดียว เพราะอะไรหรือครับ ก็เขาเชื่อมั่นในตัวคุณแล้วใงครับ จากผลงานที่คุณได้ เผยแพร่ออกไป อย่างโบราณเขาว่า สวรรค์มีตา ฟ้ามีใจ ใงครับ
           แล้วเราจะเผยแพร่ผลงานอย่างไร ไม่ยากครับ วิธีแรก ง่ายที่สุดเลยครับ ส่งตัวอย่างโปรแกรมให้กลุ่มเป้าหมายไปทดลองใช้ วิธีนีได้ผลดีทีเดียวครับ สำหรับคนที่กว้างขวาง รุ้จักคนเยอะแยะไปหมด ก็ทำได้ง่าย แล้วคนที่ไม่ค่อยรู้จักใครหล่ะ ก็มีวิธีเช่นกันครับ ก็โดยการเผยแพร่ผลงานผ่าน Web site ใงครับ เช่นเข้าไปช่วยตอบกระทู้คำถาม ของกลุ่ม โปรแกรมเมอร์ต่างๆ ตาม Web board หรือ Forum Board ต่างๆ เมื่อเราเข้าไปช่วยตอบ ช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ นั่นแหละครับ หมายความว่าคุณได้สร้างผลวานออกไปแล้ว และถ้าหาก อยากเผยแพร่ผลงานอะไรออกไป แต่ไม่มีใครถามสักที ก็ตังคำถามเองเสียเลย และคอยดูว่าจะมีคนสนใจคำถามนั้นหรือไม่ พอมีคนตอบ มา เราก็ไปเสริมสักหน่อย หรืออีกอย่าง เราก็ตังกระทู้เป็น เนื้อหาไปเลยไม่ใช้คำถาม เป็นบทความบทความหนึ่งไปเลย นี่ก็นับเป็นการเผยแพร่ ผลงานอีกวิธีหนึ่ง และค่อนข้างได้ผลดีทีเดียว ส่วนอีกวิธี ก็คือ เผยแพร่ตัวอย่าง Source Code ไปเลยครับ วิธีนี้ได้ผลดีเยี่ยมเลยทีเดียวครับ เพราะเป็นทั้ง บทความ และมี Source Code ตัวอย่างให้ Download อีกต่างหาก วิธีนี้รับรองประทับใจหลายคนเลยทีเดียวครับ
           หลายคนก็บอกว่า จะลงเนื้อหา บทความได้ที่ไหน เพราะ Web board หรือ Forum board หลายที่ จำกัดจำนวนตัวอักษรในการลง ทำให้ลงเนื้อหาได้ไม่หมด เอาหล่ะตรงนี้ ผมก็เห็นใจ ผมเลยตัดสินใจเด็ดขาด เพื่อเป็นสื่อกลางนั้น โดยการปรับปรุง Forum board ขึ้นหมาใหม่ ไม่จำกัดตัวอักษรใน และสามารแทรกรูปภาพในเนื้อหาได้ เป็นลักษณะ Visual HTML Editor เพื่อให้ทุกคนสามารถเผยแพรผลงานออกไป พร้อมทั้งไปนั้งหลังขดหลังงอ สร้าง Code Develop ขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนสามาถ ที่จะส่งบทความพร้อม Source Code เพื่อเผยแพร่เช่นกัน หน้าตาคล้ายกัน ที่นี่ จะให้ความสำคัญและ สนับสนุนทุกคนครับ

5.กระทำตามข้อ 1 – 4 อย่างสม่ำเสมอ

           ทำไมเราต้องทำตามข้อ 1 – 4 อย่างสม่ำเสมอ ก็เพราะว่า เราจะได้ฝึกฝน อยุ่ตลอดเวลา เพราะการฝึก ทำให้เราแกร่ง และเราก็จะได้เป็นโปรแกรมเมอร์ ระดับมืออาชีพใงครับ ถ้าเราขาดการฝึกฝน เราก็จะอยู่กับที่ ก้าวไม่ทันโลก แล้วก็ไม่มีโอกาส ได้เป็นมืออาชีพดังใจหวังไว้ นะสิครับ
ขอบคุณจาก ที่มา http://www.idatabase.in.th/2010/11/17/professional-programer