Translate

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Startup Repair แก้ไขบูตเข้าวินโดวส์ไม่ได้

Startup Repair แก้ไขบูตเข้าวินโดวส์ไม่ได้


หลายคนอาจเคยเจอเหตุการที่บูตเข้าวินโดวส์ไม่ได้ เครื่องมีปัญหารีสตาร์ทบ่อยครั้ง จนบางทีก็ไม่สามารถผ่านหน้าโลโก้วินโดวส์เข้าไปได้เลย สาเหตุนั้นอาจเกิดได้จาก ไฟล์ที่ใช้บูตระบบเกิดความเสียหาย จนไม่สามารถทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากซอฟต์แวร์ ไดรเวอร์ รวมถึงไวรัสและแอพพลิเคชันบางตัว ที่เกี่ยวข้องกับระบบ


รวมถึงอาจเกิดจากการที่เผลอลบไฟล์บางตัวจากระบบออกไป ไม่ว่าจะเป็นการ Delete Folder หรือ Uninstall Program ออกไปก็ตาม ล้วนแต่ส่งผลให้ไม่สามารถบูตเข้าได้ตามปกติ อย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นวิธีที่จะแก้ไขได้ก็คือ Startup Repair


ในขั้นต้นให้เข้าไปรีสตาร์ทเครื่องใหม่ จากนั้นเข้าไปตั้งค่าในไบออสให้เริ่มบูตจาก Optical Drive หรือไดรฟ์ DVD โดยเข้าไปที่หัวข้อ Boot Sequence แล้วเลือกที่เป็น DVD/CD-ROM Boot



จากนั้นให้ใส่แผ่นที่ใช้สำหรับติดตั้งระบบปฏิบัติการที่เตรียมไว้ ไม่ว่าจะใช้ Windows Vista หรือ Windows 7 ก็ตาม ลงไปใน DVD ให้เรียบร้อย



เสร็จแล้วให้บูตเข้าสู่ระบบตามปกติ เมื่อมีการตรวจสอบไดรฟ์แล้ว ก็จะปรากฏหน้าต่าง Install Windows ให้เลือกที่ Repair your computer หรือ “ซ่อมแซมการเริ่มต้นระบบ” ที่ด้านล่างซ้ายของหน้าต่างที่ปรากฏขึ้นมา


จากนั้นเมื่อหน้าต่าง System Recovery Option เปิดขึ้น ก็ให้เลือกไดรฟ์ที่ต้องการจะ Repair โดยมากจะแสดงขึ้นมาเพียงไดรฟ์เดียวเท่านั้น ในกรณีที่มีระบบปฏิบัติการเพียงตัวเดียว เสร็จแล้วคลิก Next



รอจนกว่าระบบทำงานจนเสร็จสิ้น เมื่อเรียบร้อยแล้วรีสตาร์ตวินโดวส์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยที่เข้าไปเปลี่ยนการบูตระบบให้กลับมาเป็นบูตจากฮาร์ดดิสก์เหมือนเดิม เท่านี้หากแก้ไขสำเร็จระบบก็จะบูตเข้าวินโดวส์ให้ตามปกติ

ขอบคุณจาก www.ict456.com/index.../startup-repair/

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ตำนานดอกฟอร์เก็ตมีน็อต

ตำนานดอกฟอร์เก็ตมีน็อต

ช่วงนี้ละครเรื่อง “อย่าลืมฉัน” กำลังดังหลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ว่าที่จริงแล้วคำว่า “อย่าลืมฉัน” มีที่มาจากชื่อดอกไม้ชนิดนึง นั้นคือดอกฟอร์เก็ตมีน็อต (“For Get Me Not”) โดยดอกไม้ชนิดนี้จะมีลำต้นที่แข็ง สูงประมาณ 0.5-1 เมตร มีกิ่งก้านแตกแขนงรอบลำต้น ใบเล็กเรียวปลายโค้งมน มีขนอ่อนปกคลุมทั้งสองด้าน ออกดอกเป็นช่อ ๆ หนึ่งยาวประมาณ 20- 30 ซม. มีลักษณะเป็นดอกไม้ สีฟ้า 5 แฉก ขนาดเล็ก

ดอก For Get Me Not

คำว่า “Forget Me Not” มีความหมายว่า “อย่าลืมฉัน” อันที่จริงการที่จะพูดว่า For Get Me Not นั้นก็คงจะไม่ถูกหลักแกรมม่าซะทีเดียว แต่เพื่อความสละสลวยของคำจึงใช้ “Forget Me Not” แทนที่จะเป็น “Don’t forget me!” ตำนานของดอกฟอร์เก็ตมีน็อตนั้นเกิดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศสในยุคโบราณที่อัศวินยังต้องสวมเสื้อเกราะออกรบอยู่ มีอัศวินผู้กล้าหาญและสาวงามคู่นึงได้ออกเดินทางท่องเที่ยวเข้าไปในป่าในขณะนั้นหญิงสาวได้บังเอิญไปเห็นเข้ากับดอกไม้เล็กๆสีม่วงที่ขึ้นอยู่ริมตลิ่ง เธอจึงวิงวอนเค้าให้ไปเก็บให้แต่ขณะที่เขากำลังเอื้อมเก็บดอกไม้ก็พลันลื่นไถลลงไปในแม่น้ำ ด้วยความที่เสื้อเกราะที่เค้าสวมใส่อยู่มีน้ำหนักจึงทำให้เขาไม่สามารถว่ายน้ำได้ ตัวเขาเองรู้แล้วว่าไม่รอดแน่ๆก่อนที่เขาจะจมหายไปในกระแสน้ำ เขาโยนดอกไม้ให้หญิงคนรัก และร้องตะโกนว่า ” Ne m’oubliez pas ” (เป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่าอย่าลืมฉัน) ดอกไม้ชนิดนี้จึงมีชื่อว่า“For Get Me Not” นอกจากนั้นดอกฟอร์เก็ตมีน็อตยังเป็นสัญลักษ์ของรักแท้อีกด้วย
ขอบคุณจาก 

ดอกจันกะพ้อ


ดอกจันกะพ้อ


 
 
 
 
ชื่อวิทยาศาสตร์       Vatica diospyroides   Symington
ตระกูล                   DIPTEROCARPACEAE
ลักษณะทั่วไป
จันทน์กะพ้อเป็นพันธุ์ไม้ในวงศ์ Dipterocarpaceae พวกเดียวกับยางนาและพะยอม ทางภาคใต้เรียก จันทน์พ้อ และที่จังหวัดพังงาเรียก เขี้ยวงูเขา จันทน์กะพ้อเป็นไม้ต้นขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง โตช้า ชอบขึ้นในที่ดินร่วนชื้นและร่มปะปนกันไม้ต้นชนิดอื่นในป่าดิบชื้น ต้นค่อนข้างตรง เปลือกเกลี้ยง เรือนยอดเป็นพุ่มรีหรือกว้างใบเป็นใบเดี่ยว รูปรีค่อนข้างยาว ขนาดยาว ๗-๙ซม. กว้าง ๒-๓ ซม. สีเขียวเข้ม เรียงตัวแบบเวียนไปตามกิ่งห่างๆ กัน ดอกออกตามกิ่งเป็นช่อเล็กๆ ทยอยบานครั้งละ ๑-๒ ดอก แต่มักจะมีช่อหลายช่อเป็นกระจุกและเรียงเป็นระยะๆ ตามกิ่งดอกขนาด ๑.๒-๑.๕ ซม. กลีบเลี้ยงมีขนสีน้ำตาลกลีบดอกเรียงเวียนซ้อนเกยกันเล็กน้อย ด้านในสีขาวนวลหรืออมชมพู ด้านนอกมีแถบแคบๆ มีขนละเอียดสีน้ำตาลอมแดง กลิ่นหอมแรง ออกดอกในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ปัจจุบันพบเห็นได้ค่อนข้างน้อย ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดปลูกเลี้ยงค่อนข้างยาก ถ้าแดดจัดหรือลมแรงใบจะไหม้ ปัจจุบันพบน้อยลงมาก
ใบ : เป็นใบเดี่ยว รูปรีแกมขอบขนาน หรือใบหอก สีเขียวเข้มเป็นมัน ใบอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดง
ดอก : ออกเป็นช่อสั้นๆยาว 10 -30 เซนติเมตร ตามซอกใบและปลายกิ่ง มี 5 กลีบ เมื่อดอกย่อยบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร สีขาวหรือเหลืองอ่อน ด้านนอกของกลีบมีขนนุ่มสีน้ำตาล ดอกทยอยบานนาน 1- 2 สัปดาห์ ดอกบานเพียงวันเดียวแล้วร่วงหล่นลงโคนต้น มีสีขาวเต็มพื้นและส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ
ผล : เป็นรูปเกือบกลม ขนาด 2.5-3 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบติดที่ขั้วผล ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่สีน้ำตาล แตกได้เป็น 3 เสี่ยง ภายในมี 1 เมล็ด
ฤดูออกดอก : พฤศจิกายน - มีนาคม กลิ่นหอมมากในตอนกลางคืน
สภาพปลูก : ชอบขึ้นอยู่ตามริมน้ำ บริเวณที่มีน้ำหลากหรือน้ำท่วมขัง ดินชุ่มชื้น แสงแดดจัด ชอบน้ำมาก ชอบอยู่กลางแจ้งที่มีความชื้นในอากาศค่อนข้างสูง

ขอบคุณจาก www.chankapho.com/Article-showdetail-5857-8774-ดอกจันกะพ้อ.

ตำนานดวงดาว


ตำนานดวงดาว
         ตำนานการก่อกำเนิดของดวงดาวต่างๆ ที่ไม่อิงหลักวิทยาศาสตร์
         เอามาฝากให้อ่านกันเล่นๆ เสริมสร้างจินตนาการค่ะ


ตำนานอียิปต์
         ตามตำนานอียิปต์ โอซีรีส เป็นกษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรม เป็นที่รักใคร่ของพสกนิกรยิ่งนัก ทรงมีพระมเหสีนามว่า ไอสิส พระนางไอสิส เป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์กว่าใคร โอซีรีส ทรงมีพระอนุชามากมาย พระอนุชาองค์รองของพระองค์นั้น ริษยาอาฆาต ต้องการที่จะเป็นใหญ่ จึงออกอุบายให้ช่างทำโลงศพ ที่ประดับประดาอย่างสวยงามอลังการ โดยแอบวัดขนาดองค์ของ โอซีรีส ให้พอดีกันอย่างเหมาะเจาะ แล้วก็เชิญชวนเหล่าพระเชษฐาอนุชา มางานเลี้ยงเพื่อชมความงามของโลงนั้น แล้วบอกว่า เป็นโลงที่สร้างอย่างงดงามที่สุด แต่จะมอบให้องค์ใดที่มีส่วนสัดเหมาะเจาะกับขนาด ทุกองค์ก็ต้องลองเข้าไปนอนดู เมื่อถึงคราว โอซีรีส เข้าไปในโลง พระอนุชาก็ตอกฝาโลงปิดสนิทจน โอซีรีสสิ้นพระทัยในโลง พระนางไอสิส กลับจากการเดินทางมาทราบข่าวก็โศกาอาดูร พยายามไปตามพระศพของ โอซีรีส ปรากฏว่า พระอนุชาได้ตัดพระศพเป็นสิบสี่ท่อนโยนทิ้งไปคนละทิศ พระนางไอสิส ก็ไปตามเก็บมาหมด ขาดส่วนที่สำคัญหนึ่งชิ้นคือ อวัยวะชาย ซึ่งถูกโยนลงแม่น้ำไนล์และถูกปลากินไป พระนางจึงเอาไม้สน ซึ่งเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอียิปต์ (คงเนื่องจากหาได้ยากในทะเลทราย) มาเหลาติดต่อให้เป็นเทวลึงค์ แล้วห่อพระศพด้วยผ้าลินินพันไปรอบๆ พร้อมด้วยกรรมวิธีต่างๆ อันเป็นแบบแผนของการทำมัมมี่ในยุคหลัง เสร็จแล้ว นางก็เป่าลมหายใจวิเศษ(บา) นำวิญญาณกลับคืนสู่ร่างมัมมี่ โอซีรีส ก็ฟื้นคืนองค์ ลอยขึ้นสู่สรวงสวรรค์ไปปกครองผืนฟ้า เป็นเจ้ามนุษย์หลังจากความตายไป ว่ากันว่า ปิรามิดเมืองกีซ่า นั้น สร้างขึ้นเพื่อเลียนตำแหน่งของ เข็มขัดโอไรอัน แต่จะจริงเท็จอย่างไรคงต้องรอพิสูจน์กันอีก 

ตำนานพระจันทร์ 2 ดวง
นานมาแล้ว..สมัยที่โลกยังมีพระจันทร์ 2 ดวง
มีพระจันทร์ดวงหนึ่งเป็นผู้หญิงกับอีกดวงหนึ่งเป็นผู้ชาย
และพระจันทร์สองดวงนี้ต่างก็รักกันมาก ดวงจันทร์ทั้ง 2 ไม่เคยแยกห่างจากกัน
ทุก ๆ คืนเมื่อมองไปบนฟ้า จะเห็นดวงจันทร์ทั้งคู่อยู่เคียงข้างกันเสมอ

แต่แล้ววันหนึ่งดวงจันทร์ผู้หญิงได้ไปพบกับดวงอาทิตย์
ทำให้ดวงจันทร์หลงใหลในแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์
จนเลื่อนตัวตามดวงอาทิตย์ไป ทีละน้อย ๆ
จนแยกมาจากดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งในที่สุด

เมื่อค่ำคืนมาถึงจึงมีดวงจันทร์ผู้ชายเหลืออยู่เพียงดวงเดียว
ดวงจันทร์ดวงนั้นจึงได้แต่ตามหาดวงจันทร์ผู้หญิงไปทุกหนทุกแห่ง
คืนแล้วคืนเล่าผ่านไปดวงจันทร์ผู้ชายก็ไม่สามารถหาดวงจันทร์ผู้หญิงได้พบ
ด้วยความคิดถึงและอยากพบให้เร็วที่สุด ทำให้ดวงจันทร์ผู้ชายคิดว่า
“หากเรามัวแต่ตามหาอยู่อย่างนี้คงไม่ได้เจอแน่ๆ”
จึงตัดสินใจ…..ระเบิดตัวเองเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปทั่วทั้งจักรวาล
เพื่อให้ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นออกตามหาดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งนั้น
………….............................

เมื่อเวลาผ่านไปทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงได้เห็นถึงความจริงว่า
แม้ดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้าสวยงามสักปานใด
แต่ดวงอาทิตย์ก็มิได้ส่องแสงเจิดจ้านั้นแต่เพียงตนเท่านั้น
ยังส่องแสงไปยังดวงอื่น ๆ อีกมากมาย
ดวงจันทร์จึงกลับมาหาดวงจันทร์ผู้ชายอีกครั้ง…
แต่หาเท่าไหร่ก็หาดวงจันทร์ผู้ชายไม่พบ
ต่อมาจึงได้รู้ว่า…

ดวงจันทร์ผู้ชายยอมระเบิดตัวเองเพียงเพื่อตามหาตนจนกระจัดกระจายเป็นเศษเสี้ยว เล็กๆ
ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงรู้ว่าไม่มีวันที่จะได้เจอกับดวงดาวผู้ชายอีกต่อไปแล้ว
จึงได้แต่โศกเศร้าเสียใจ

แต่ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ดวงจันทร์ผู้ชายมีต่อดวงจันทร์ผู้หญิง…
ทุกค่ำคืนจึงพยายามเปล่งประกายแสงที่ยังเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของตนส่องให้ถึง
ดวงจันทร์ผู้หญิง
เกิดเป็นแสงพร่างพรายเต็มท้องฟ้าเคียงข้างดวงจันทร์
จนเกิดเป็นดวงจันทร์และดวงดาวให้เราเห็นจนถึงทุกวันนี้

สังเกตมั้ยว่า……
คืนใดที่ดวงจันทร์เต็มดวงจรัสแสงประกายเจิดจ้ามากที่สุด
คืนนั้นท้องฟ้าไร้ดวงดาว
แต่หากคืนใดที่เมฆน้อยบดบังดวงจันทร์ไปหมดสิ้น
ค่ำคืนนั้นเรากลับได้เห็นดวงดาวทอแสงเต็มท้องฟ้า


ตำนานดวงดาวกรีก
         จากวีรกรรมที่ได้สังหาร นางมารเมดูซ่า เมื่อ เพอร์ซีอุส สิ้นชีวิตลงก็ได้ไปสถิตอยู่บนฟ้าเป็น กลุ่มดาว เพอร์ซีอุส ที่ในมือยังหิ้วหัวนางเมดูซ่าอยู่ ดาวที่มีชื่อมากใน กลุ่มดาวเพอร์ซีอุส คือ อัลกอล(Algol) ซึ่งเป็นชื่อมาจากภาษาอาหรับโบราณ Al Ghul ในความหมายเดียวกับภาษาอังกฤษว่า The Ghoul ในภาษาฮิบบรูของชาวยิว ก็เรียกดาวดวงนี้ว่า Rosh ha Sitan ซึ่งแปลว่า หัวของปีศาจ ชาวจีนมีหลักฐานบันทึกชื่อดาวดวงนี้ว่า Tseih She ซึ่งแปลว่า กองศพ ดาวดวงนี้ ถูกเรียกว่าเป็น ดาวปีศาจ มาแต่สมัยโบราณแล้ว ตำราโหราศาสตร์เชื่อว่า เป็นดาวที่นำโชคร้าย ชาวอียิปต์โบราณ เชื่อว่า ดาวดวงนี้มีวิญญาณ หรือ Khu(คู) สถิตย์อยู่ และก็เป็นชื่อที่เหมาะสมมาก นับแต่โบราณกาล อัลกอล เป็นดาวที่แปลกกว่าดาวดวงอื่น คือทุกๆ ๖๘ ชั่วโมง ๔๙ นาที มันจะหรี่แสงลงอย่างฉับพลัน ความหรี่แสงจะคงอยู่ประมาณ ๘ ชั่วโมง แล้วกลับสว่างขึ้นอย่างปุบปับเช่นกัน ในเวลาประมาณ ๓ วันเช่นนี้ ก็สั้นมากพอที่จะสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า(หากใช้กล้องส่องทางไกลจะเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น) เหมือนกับ ตาปีศาจ ที่ยังหลอกหลอนหมู่มนุษย์ มาชั่วกัปชั่วกัลป์ ในปี ค.ศ. ๑๗๘๒-๘๓ John Goodricke นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ เป็นผู้ค้นพบว่า อัลกอล เป็นระบบดาวคู่ ที่โคจรรอบจุดศูนย์กลางร่วม แต่ดาวดวงหนึ่ง ใหญ่กว่าอีกดวงมาก คือมีมวล ๓.๘ และ ๐.๘ เท่าของดวงอาทิตย์ตามลำดับ แล้วดาวทั้งคู่ ก็โคจรรอบกันและกัน เหมือนการหมุนของลูกตุ้มดัมเบลล์ ดาวดวงใหญ่กว่า ก็อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางร่วมมากกว่าดวงเล็ก บางครั้งดวงเล็กก็บังดวงใหญ่ ทำให้แสงหรี่ลงเล็กน้อย บางครั้งที่ดวงใหญ่บังดวงเล็ก แสงก็หรี่ลงมาก พอดาวที่บัง โคจรมาตัดหน้าเมื่อมองจากโลก แสงก็หรี่ลงอย่างฉับพลัน พอโคจรพ้นออกไป แสงก็สว่างจ้าขึ้น เนื่องจากเป็นคาบการโคจรที่แน่นอน จึงมีระยะเวลา หรี่แสง-จ้าแสง ที่แน่นอนตามไปด้วย ด้วยคาบการโคจรที่สั้นมาก ในเวลาไม่ถึง ๓ วันเท่านั้น จึงทำให้สังเกตได้ว่ามีความเปลี่ยนแปลง นักดาราศาสตร์ เรียกระบบดาวคู่เช่นนี้ว่า Eclipsing binary คือเป็นระบบดาวคู่ที่คราสกันส่วนอันดรอเมด้า ก็ได้รับความเป็นอมตะ ได้เป็นกลุ่มดาวอยู่ไม่ไกลจาก เพอร์ซีอุส นัก ข้างๆนาง ก็มี กลุ่มดาว เพกาซุส ที่เพิ่งถือกำเนิดมาจากเลือดที่ไหลนองออกจากร่าง นางเมดูซ่าส่วนอันดรอเมด้า ก็ได้รับความเป็นอมตะ ได้เป็นกลุ่มดาวอยู่ไม่ไกลจาก เพอร์ซีอุส นัก ข้างๆนาง ก็มี กลุ่มดาว เพกาซุส ที่เพิ่งถือกำเนิดมาจากเลือดที่ไหลนองออกจากร่าง นางเมดูซ่าโดย เจ้าหญิง ก็ยังถูกตรึงอยู่กับก้อนหินชายหาด รอวีรบุรุษในดวงใจของเธอมาช่วยชีวิต จากเงื้อมมือของอสูรร้าย ที่กลายเป็นกลุ่มดาวเซตัส อยู่ไม่ห่างไกล คอยจ้องจะขย้ำนาง ไล่ตามกันไปรอบดาวเหนือ แต่พระเอกของเรา ก็บินลอยฟ้าตามมาไม่ห่าง คอยคุ้มครองปกป้องสาวงามผู้เสียขวัญ เป็นนิยายรักให้ชาวโลกชื่นชมชั่วกาลนาน

เทพกรีกที่เกี่ยวข้องกับชื่อดาว
Phoibos (Apollo ดวงอาทิตย์) เทพแห่งดวงอาทิตย์และแสงสว่าง ลูกชายซุสกับ Leto (ธิดาของ Coeus กับ Phoebe) มีรูปงามที่สุดในบรรดาเทพบุตร มีธนูเงินเป็นอาวุธ โปรดบทกวีและดนตรี(ชอบเป่าขลุ่ย) ได้สมญา ว่า ผู้ฆ่าสุนัขป่า มีสัญลักษณ์คือ ต้น Laurel และไก่

Artemis(Diana,ดวงจันทร์)
 เทพีแห่งป่า, การล่า และความอุดมสมบูรณ์ ฝาแฝดของ Helious รักษาพรหมจรรย์ ไม่แต่งงานกับใคร ชอบขี่ม้า มีธนูเงินเป็นอาวุธ บางครั้งมีอารมณ์ร้ายและเลือดเย็น ตามประสาสาวโสด

Hermes หรือ มีชื่อในภาษาลาตินว่า Mercury{เป็นที่มาของชื่อดาวพุธ Mercury และปรอท} เทพแห่งการค้าและการโจรกรรม เป็นเทพเดินสารประจำตัวซุส บุตรของซุสกับ Maia(ธิดา Atlas เทพธิดาแห่งการเจริญเติบโต) สวมหมวกและรองเท้ามีปีก ทำให้หายตัวและเหาะได้

Aphrodite หรือมีชื่อในภาษาลาตินว่า Venus {เป็นที่มาของชื่อดาวศุกร์ Venus} เทพีแห่งความรักและความงาม เกิดจากฟองคลื่นในทะเล มีสัญลักษณ์คือ หงส์

Ares หรือ ในชื่อลาตินว่า Mar {เป็นที่มาของคำว่า ดาวอังคาร Mar และเดือนมีนาคม March} เทพแห่งสงคราม บุตรของซุสกับเฮรา มีนิสัยโหดร้าย ชอบกลิ่นคาวเลือด เป็นที่เกลียดชังของมนุษย์และเทพ มีสัญลักษณ์คือ สุนัข มีบุตร 2 องค์คือ Phobos(ความกลัว) กับ Deimos(ความสยดสยอง) มักจะติดตามออกศึกกับบิดาเสมอๆ {ต่อมากลายเป็นชื่อดวงจันทร์ 2 ดวงของดาวอังคารไป}

ซุส (Zeus- เทพแห่งสวรรค์ ท้องฟ้า ) หรือชื่อในภาษาลาตินว่า Jupiter {เป็นที่มาของชื่อดาวพฤหัส Jupiter} เจ้าแห่งฝนฟ้าอากาศ มีสายฟ้าเป็นอาวุธ มีสัญลักษณ์คือ ต้นโอ๊ค และนกอินทรี

ยูโรปา(Europa) เป็นลูกสาวของ Agenor และเป็นคนรักอีกคนของซุส โดยซุสได้แปลงกายเป็นวัวสีขาวไปพบยูโรปาที่ชายทะเล วัวซุสได้เข้าหายูโรปาด้วยท่าทางที่เชื่องและคุ้นเคยกับมนุษย์ วัวซุสได้คะยั้นคะยอให้ยูโรปาขี่หลังของมัน และทันใดนั้นวัวซุสได้ว่ายข้ามทะเลไปยังเกาะครีต และแปลงกายกลับเป็นเทพตามเดิม และอยู่กินกับยูโรปา จนให้กำเนิด ลูก 3 คน คือ Minos, Sarpedon และ Rhadamanthys ซุสได้ให้ของวิเศษ 3 อย่างแก่ ยูโรปาคือ มนุษย์สัมฤทธิ์ Talos ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ตัวเธอ , หมา Laelaps ที่ไม่เคยพลาดจากเหยื่อของมัน และหอกซัดที่ไม่เคยพลาดเป้า ต่อมายูโรปาได้อภิเษกกับพระราชาแห่งเกาะครีต Asterius {ชื่อของเธอ ถูกกาลิเลโอ นำมาตั้งเป็นชื่อดวงจันทร์ของดาวพฤหัส และสันนิษฐานว่า อาจเป็นที่มาของชื่อทวีปยุโรป} 

ขอบคุณจาก student.nu.ac.th/star_story/story.html

ตำนานดอกกุหลาบ

กุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกไว้ชื่นชมมาแต่โบราณ ประมาณกันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อกว่า 70 ล้านปีมาแล้ว เคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบใน รัฐโคโลราโด และ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้พิสูจน์ว่ากุหลาบป่าเป็นพืชที่มีอายุถึง 40 ล้านปี แต่กุหลาบป่าสมัยโลกล้านปีนี้ มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกุหลาบสมัยนี้ เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์ ขยายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ มากมาย

               ความจริงแล้วกำเนิดของกุหลาบหรือกุหลาบป่านี้มีเฉพาะในแถบบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลกเท่านั้น คือกำเนิดในภาคกลางของทวีปเอเชีย แล้วแพร่ขยายพันธุ์ไปตลอดซีกโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นแถบที่มีอากาศหนาวจัดอย่าง อาร์กติก อลาสก้า ไซบีเรีย หรือแถบอากาศร้อนอย่าง อินเดีย แอฟริกาเหนือ แต่ในบริเวณแถบใต้เส้นศูนย์สูตรอย่างทวีปออสเตรเลีย หรือเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรรวมทั้งแอฟริกาใต้ ไม่เคยมีปรากฏว่ามีกุหลาบป่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเลย

ดอกกุหลาบ               ตามประวัติศาสตร์เล่าว่า กุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรดิจีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอก ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมากถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย สำหรับชาวโรมันแล้วเรียกได้ว่าดอกกุหลาบมีความสำคัญกับชีวิตประจำวัน เพราะชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ซึ่งเป็นทั้งของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับทำเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ ส่วนน้ำมันกุหลาบยังใช้ทำเป็นยาได้อีกด้วย

               กุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความโรแมนติก ซึ่งมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม

ดอกกุหลาบ               บางตำนานกล่าวว่ากุหลาบเกิดจากการชุมนุมของบรรดาทวยเทพ เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้กับนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งเทพธิดาแห่งบุปผาชาติ หรือ คลอริส บังเอิญไปพบนางนอนสิ้นชีพอยู่ ในตำนานนี้กล่าวว่า อโฟรไดท์ เป็นเทพผู้ประทานความงามให้ มีเทพอีกสามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์ และมี เซไฟรัส ซึ่งเป็นลมตะวันตกได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆ เพื่อเปิดฟ้าให้กับแสงของเทพ อพอลโล หรือแสงอาทิตย์ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ จากนั้น ไดโอนีเซียส เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทานน้ำอมฤต และกลิ่นหอม เมื่อสร้างบุปผาชาติดอกใหม่นี้ขึ้นมาได้แล้ว เทพทั้งหลายก็เรียกดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอมและทรงเสน่ห์นี้ว่า Rosa จากนั้น เทพธิดาคลอริส ก็รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้เป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบให้กับเทพ อีโรส ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก กุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แล้วเทพ อีโรส ก็ประทานกุหลาบนี้ให้แก่ ฮาร์โพเครติส ซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอของทวยเทพทั้งหลาย ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเงียบและความเร้นลับอีกอย่างหนึ่ง

               กุหลาบกลายเป็นของขวัญ ของกำนัลสำหรับการแสดงความรัก และมักจะมีผู้เปรียบเทียบความงามของผู้หญิงเป็นเสมือนดอกกุหลาบ และผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์โลกที่ได้รับสมญาว่าเป็นผู้หญิงงามเสมือนดอกกุหลาบคือ พระนางคลีโอพัตรา ซึ่งพระนางยังได้เคยต้อนรับ มาร์ค แอนโทนี คนรักของพระนาง ในห้องซึ่งโรยด้วยดอกกุหลาบหนาถึง 18 นิ้ว หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นกุหลาบ

 

ดอกกุหลาบตำนานดอกกุหลาบในเมืองไทย

               กุหลาบมาจากคำว่า "คุล" ในภาษาเปอร์เชีย แปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" และเข้าใจว่าจากเปอร์เซียได้แพร่เข้าไปในอินเดีย เพราะในภาษาฮินดีมีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเราเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ"  ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก

ดอกกุหลาบ               กุหลาบเข้ามาเมืองไทยสมัยใดไม่ทราบแน่ชัด แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บันทึกไว้ว่าได้เห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และที่แน่นอนอีกแห่งก็คือ ในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ กล่าวถึงกุหลาบไว้ว่า

        กุหลาบกลิ่นเฟื่องฟุ้ง
หอมรื่นชื่นชมสอง
นึกกระทงใส่พานทอง
หยิบรอจมูกเจ้า

 

เนืองนอง
สังวาส
ก่ำเก้า
บ่ายหน้าเบือนเสีย

               สำหรับตำนานดอกกุหลาบของไทยเล่ากันว่า เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา ในเรื่องเล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา" ซึ่งนางได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ" ซึ่งพระองค์ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" มากแต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาบให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา

กุหลาบกุหลาบขาว กับ กุหลาบแดง สีไหนเกิดก่อน ?

               มีหลายตำนานเล่าถึงการเกิดกุหลาบสีขาวและกุหลาบสีแดงไว้แตกต่างกัน ตำนานหนึ่งเล่าว่า กุหลาบขาว เกิดขึ้นก่อน กุหลาบแดง เดิมทีมีนกไนติงเกลตัวหนึ่งมาหลงรักเจ้าดอกกุหลาบขาวแสนสวย ขณะที่มันกำลังจะโอบกอดดอกกุหลาบด้วยความรักนั้นเอง หนามกุหลาบก็ทิ่มแทงที่หน้าอกของมัน หยดเลือดของเจ้านกไนติงเกลเลยทำให้ดอกกุหลาบสีขาวกลายเป็นสีแดง เลยมีดอกกุหลาบสีแดงนับแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนอีกตำนานหนึ่งก็เล่าว่ากุหลาบสีแดงใน สวนอีเดน เกิดจาการจุมพิตของ อีฟ เจ้าดอกกุหลาบขาวที่หญิงสาวจุมพิต เลยเกิดอาการขวยเขินจึงเปลี่ยนเป็นสีแดง

               นอกจากนี้ ความหมายของความรักในศาสนาคริสต์ ถือว่ากุหลาบสีขาวแทนความบริสุทธิ์ของ พระแม่มาเรีย และกุหลาบสีแดงเกิดจากหยาดพระโลหิตของ พระเยซูเจ้า เมื่อถูกสวมมงกุฎหนาม มันจึงเป็นสัญลักษณ์ของผู้ประกาศศาสนาที่พลีชีพเพื่อพระผู้เป็นเจ้า

กุหลาบสีกุหลาบสื่อความหมาย

               ในวันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นวันแห่งความรัก ดอกกุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์ และของกำนัลของวันนี้ ดังนั้นเวลาที่คิดจะให้ดอกกุหลาบแก่ใครสักคน เราก็น่าจะรู้ความหมายของสีอันเป็นสื่อความหมายของดอกกุหลาบไว้บ้างก็น่าจะดี ซึ่งก็จะมีความดังนี้

  • สีแดง สื่อความหมายถึง ความรักและความปรารถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ คิวปิด และอีรอส เป็นสิ่งนำโชคนำความรักมาให้แก่หญิงหรือชายที่ได้รับ
  • สีชมพู สื่อความหมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์
  • สีขาว สื่อความหมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ มิตรภาพ และความสงบเงียบ และนำโชคมาให้แก่หญิงหรือชายเช่นเดียวกับกุหลาบแดง
  • ดอกกุหลาบสีเหลือง สื่อความหมายถึง เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอนะ
  • สีขาวและแดง สื่อความหมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
  • กุหลาบตูม สื่อความหมายถึง ความงามและความเยาว์วัย

ดอกกุหลาบช่อกุหลาบสื่อความหมาย

               จำนวนดอกกุหลาบในช่อก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สื่อความหมายได้เช่นกัน และในวันวาเลนไทน์หรือวันไหนๆ ถ้าคุณได้ช่อดอกกุหลาบจากใครสักคน เค้าคนนั้นอาจกำลังต้องการสื่อความหมายอะไรบางอย่างให้คุณรู้ก็เป็นได้

จำนวนดอกกุหลาบ
1
2
3
7
9
10
11
12
13
15
20
21
36
40
99
100
101
108
999

ความหมาย
รักแรกพบ
แสดงความรู้สึกที่ดีให้กัน
ฉันรักเธอ
คุณทำให้ฉันหลงเสน่ห์
เราสองคนจะรักกันตลอดไป
คุณเป็นคนที่ดีเลิศ
คุณเป็นสมบัติชิ้นที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน
ขอให้เธอเป็นคู่ของฉันเพียงคนเดียว
เพื่อนแท้เสมอ
ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ
ฉันมีความจริงใจต่อเธอ
ชีวิตินี้ฉันมอบเพื่อเธอ
ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน
ความรักของฉันเป็นรักแท้
ฉันรักเธอจนวันตาย
ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
ฉันมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น
คุณจะแต่งงานกับฉันไหม
ฉันจะรักคุณจนวินาทีสุดท้าย


ขอขอบคุณจาก www.panmai.com/Valentine/rose_legend.shtml

7 ประเภทมือมนุษย์

7 ประเภทมือมนุษย์

7 ประเภทมือมนุษย์ มือ 7 แบบ หรือ 7 ลักษณะมือมนุษย์

มือทำไมจึงมี 7 แบบ ชีวิตคนเราเกี่ยวข้องกับเลข 7 อยู่เสมอ (รวมทั้ง 7-ELEVEN)  ในโลกนี้สิ่งสำคัญและยิ่งใหญ่ก็จะจัดได้เป็น 7  เช่นมหาสมุทรแบ่งได้เป็น 7  สิ่งมหัศจรรย์ของโลกก็มี 7  ใน 1สัปดาห์ก็มี 7    และมือคนเราจัดกลุ่มหรือจำแนกแล้วก็ได้ 7 เช่นกัน (ท่าน เค้าท์ หลุย แฮมมอน -Count Louis Hamon)  ท่านเรียกตัวเองว่าไคโร (Cheiro)  ซึ่งเป็นภาษากรีกโบราณหมายถึงนักวิเคราะห์ลายมือ ท่านคือบุคคลแรกที่ได้กำหนดมือไว้ 7  แบบหรือ 7ประเภทมือมนุษย์

มือ 7 ประเภทมุษย์ หรือ ลักษณะมือ 7แบบ
สังเกตให้ดีนะครับ ผมจะนำรูปมือจากตำราของท่านไคโรทั้ง 7 แบบมาไว้แถวบน และผมก็นำภาพมือจริงที่ผมรวบรวมจากการดูลายมือไว้มาเปรียบเทียบให้เห็น  จะเป็นเรื่องยากอยู่สักหน่อยสำหรับคนที่ไม่เคยเรียนรู้เรื่องการดูมือ หรือไม่สังเกตให้ดี แต่ถ้าคนมีประสบการณ์จะมองเห็นความเหมือนและความต่างแยกออกได้ชัดเจน
7 ประเภทมือมนุษย์  หรือรูปแบบมือของคนเรา บอกถึงลักษณะนิสัยหรือสิ่งที่แสดงออกทางกาย วาจา ใจ (จริต 6)ซึ่งจะส่งผลถึงการดำเนินชีวิต  หรือสไตน์ชีวิต(lifestyle)ของคนนั้น ๆ เราสามารถรู้ได้จากรูปแบบมือ  สมัยผมยังเด็กคุณลุงท่านมีอาชีพทาบกิ่งมะม่วงขาย โดยไปขอทาบกิ่งจากสวนของเพื่อนบ้านหลาย ๆ พันธุ์ แล้วตัดมารวมกันไว้รดน้ำอนุบาลจนพื้นตัว   จากนั้นก็แยกออกเป็นกลุ่มว่าเป็นมะม่วงพันธุ์อะไร  ผมทึ่งมากว่าท่านรู้ว่าต้นไหนคือมะม่วงพันธุ์อะไรเพียงแต่ดูจากใบของมัน   แต่ถ้าเข้าไปศึกษาจริงจังและสังเกตให้ดีจะเห็นความแตกต่างของใบของแต่ละพันธุ์เป็นอย่างมาก  และหากคนที่มีประสบการณ์ผ่านการกินมะม่วงพันธุ์ต่าง ๆ มาแล้ว แค่เห็นใบก็นึกภาพผลมะม่วงได้เลยว่าลูกของมันมีลักษณะอย่างไร  รสชาดเป็นอย่างไร  ชนิดไหนกินสุกหวานอร่อย  แต่ถ้าจะทำน้ำปลาหวานจะต้องใช้พันธุ์ไหนถึงจะเหมาะ   เช่นเดียวกับประเภทของมือมนุษย์จะบอกบอกบุคลิกและลักษณะนิืสัยได้ประมาณนั้นเช่นกัน มือลำดับที่ 1 นับจากซ้ายนิสัยใจคอเป็นอย่างไรแต่ละมือแต่ละแบบก็จะแตกต่างกันไป เหมาะกับอาชีพการงานอะไรบอกได้จากประเภทของมือ  หากดูมือจริงแล้วไม่เข้าลักษณะใดก็อย่างพึ่งงง  ลองสังเกตให้ดี เพราะแท้ที่จริงแล้วบางมือก็มีลักษณะปรากฏหลายแบบรวมกันแต่ก็ไม่ใช่มือผสม ให้ถือเอาลักษณะส่วนใหญ่ที่ปรากฏเป็นหลักในการกำหนดว่าอยู่ในมือประเภทใด  เพราะแท้ที่จริงคนเราก็มีลักษณะหลายบุคคลิคในตัวเอง แต่ท้ายที่สุดก็จะมีลักษณะที่เด่นสุดจนเป็นเอกลักษณ์ปรากฎให้เห็นได้อย่างแน่นอน  สมัยหนึ่ง(โบราณ)ในอเมริกาเขาคัดแยกคนงานเข้าทำงานตามโรงงานแต่ละแผนก โดยแยกตามประเภทของมือ พวกนิ้วยาว มือยาวมักจะใช้สมองและมีทักษะในงานที่ใช้ฝีมือได้ดีกว่าคนมือสั้นนิ้วสั้นอย่างนี้เป็นต้น

มาดูมือพื้นฐานและพัฒนาการของมือทั้ง 7 แบบ เริ่มจากมือพื้นฐาน

มาแยกประเภทและความเกี่ยวข้องกับเจ้าของมือ
 มือพื้นฐานหรือมือใช้แรงงานมือพื้นฐาน (Elementary Hand) ลักษณะเป็นมือสั้นทั้งฝ่ามือและนิ้วมือ  มีเส้นในมือเพียง 3 เส้นหลัก และเป็นเส้นที่ไม่สมบูรณ์นัก ส่วนมากมักจะประกอบอาชีพเป็นแรงงาน ชอบใช้ชีวิตไปตามสภาพ ตามมีตามเกิด มือค่อนข้างใหญ่ ผิวมือแข็งสาก หยาบ  รูปมือดูเทอะทะ ฝ่ามือหนาและสั้นนิ้วค่อนข้างสั้น รูปมือสี่เหลียม
นิ้วมือ นิ้วหนา หัวแม่มือแข็ง  นิ้วมีข้อ  นิ้วค่อนข้างสั้นดูเก้งก้างไม่สวยงามดูหยาบแข็ง เล็บปลายนิ้วมือมักจะเป็นสี่เหลี่ยม ปลายนิ้วตัด
เนินในมือ เนินแฟบ มีหลุมตรงกลางมือค่อนข้างกว้างและลึก
ส้นลายมือ มีสามเส้น หลัก คือชีวิต สมองและเส้นจิตใจ การแสดงออกทางกายอยู่ง่ายกินง่าย  ทำตัวตามสบาย,ทำตามสั่งแต่ก็ไม่ชอบการสังคมอุปนิสัยหรือความคิดซื่อตรง,ไม่อ้อมค้อมไม่ชอบคิดหรือวางแผนมีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือโหดร้ายก็ได้จะเป็นไปตามสภาพแวดล้อม อาชีพการงานและความสำเร็จส่วนใหญ่จะเหมาะกับอาชีพการใช้แรงงาน,กรรมกร ลูกจ้างรับจ้างทั่วไปมีทั้งประกอบการดี และอาจมีทั้งอาชญากรรม

 มือสี่เหลี่ยมหรือมือทำประโยชน์เป็นมือชนิดที่ 2  มือสี่ เหลี่ยม หรือมือทำประโยชน์ Square-hand / Useful-handพัฒนาการมากจากมือประเภทที่ 1 (มือพื้นฐาน)  ลักษณะมือจะยาวและนิ้วก็ยาวกว่า มือสมส่วนได้รูปดีกว่าประเภทที่ 1 เส้นในมือมีมากว่า 3 เส้น และเนินต่าง ๆ   เป็นมือที่สมบูรณ์ เหมาะกับงานทุกประเภท ใช้สมองและแรงงานก็ไม่เป็นปัญหา ประกอบอาชีพหลายรูปแบบ ตั้งแต่เป็นลูกจ้างยันเจ้าของกิจการ แพทย์ วิศวกร  ก็เป็นได้ทั้งนั้น ต้องพิจารณาลายมือ และเนินในมือประกอบ
รูปลักษณ์ ของมือ หรือลักษณะมือ มือรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสมีเนื้อหนา  กลางมืออาจเป็นหลุมลึกในบางมือ ฝ่ามือค่อนข้างใหญ่
นิ้วมือ นิ้วยาวใกล้เคียงกับฝ่ามือหรือสั้นกว่าเล็ก น้อยเมื่อเหยีดมือแล้วนิ้วจะชิดติดกัน หรืออาจแยกกันบ้างในบางมือ ปลายนิ้วตัดตรงเป็นสี่เหลี่ยม
เล็บ ปลายนิ้วมือเป็นได้หลายแบบ เช่นเล็บสี่เหลี่ยม เล็บใบพาย
เนินในมือ มีเนินค่อนข้าง สมบูรณ์แต่ไม่ถึงกับนูนขึ้น แต่ก็ไม่-แฟบแบน หรืออาจมีสมบูรณ์ไม่ทุกเนิน
เส้นลายมือมีสามเส้นหลัก คือชีวิตสมองและเส้นจิตมีเส้นวาสนาเพิ่มเข้ามาหรือบางมืออาจ มีเส้นอาทิตย์หรือเส้นอื่น ๆ ประกอบเพิ่มเติม
การแสดงออกทางกายชอบการคบค้า สมาคมเป็นคนเปิดเผย ตรงไปตรงมา ซื่อตรงต่อเวลาและหน้าที่การ งานชอบงานกลางแจ้ง ร่างกายแข็งแรงต่อสู้ไม่ย้อท้อ จนกว่าจะได้รับความสำเร็จ
อุปนิสัยหรือความคิดยึดมั่นต่อ ระเบียบแบบแผนและประเพณีมีการวางแผนหรือทบทวนไตร่ตรองก่อน ที่จะกระทำงานการใด ๆสามารถทำงานซ้ำ ๆ ได้ไม่เบื่อเชื่อถือในคำ สอนของศาสนาและเชื่อเรื่องโชคลาง
อาชีพการงานและความสำเร็จเป็นได้หลาย อาชีพ ตั้งแต่ใช้แรงงานใช้ สมองและเจ้าของกิจการแต่มักจะเป็นผู้ปฏิบัติจนชำนาญ
หากมือลึกจะ เริ่มต้นชีวิตด้วยความลำบาก แต่ก็ต่อสู้ฟันฝ่าจนได้รับความ สำเร็จระดับหนึ่งแม้ไม่ร่ำรวยแต่ก็ยืนในสังคมได้

 มือใบพายหรือมือแ่ห่งความจำเป็น3.มือใบพาย(Spatulate Hand) มือแบบนี้ก็พัฒนาการเพิ่มมาจากมือสี่เหลี่ยม เป็นมือที่ได้รูปสวยงาม นิ้วยาวมีเล็บเป็นรูปใบพาย และมือก็เป็นรูปใบพาย แบ่งออกเป็นพายบน กับพายล่าง พายบนคือส่วนบนทางด้านนิ้วมือก้วางกว่าส่วนล่าง(ฐานมือ)   พายล่างคือส่วนล่าง(ฐานมือ) กว้างกว่าส่วนบน
รูปลักษณ์ ของมือ หรือลักษณะมือรูปมือคล้ายใบพายคือปลายอีกด้านหนึ่งกว้าง อีกด้านหนึ่งแคบกว่า แบ่งเป็น 2 แบบ
1.กว้างทางด้านโคนนิ้วมือแต่ทางฐาน มือแคบก็ได้
2.กว้างทางฐานมือแต่ทางฐานนิ้วแคบ
นิ้วมือ นิ้ว ยาวประมาณฝ่ามือหรือสั้นกว่าเล็กน้อย  ปลายนิ้วเป็นรูปใบพาย หรือรูปมนหรือ รูปตัดก็ได้นิ้วเรียวสวยงาม
เล็บปลายนิ้วมือเป็นรูป ใบพายทุกนิ้ว
เนินในมือเนินจะอิ่มเต็มตามส่วนที่กว้างของ รูปมือ เช่นรูปมือทางฐานมือกว้าง เนินศุกร์และเนิน-จันทร์มักจะ อิ่มเต็ม
เส้นลายมือมีสามเส้นหลัก คือชีวิตสมองและเส้นจิตมีเส้นวาสนาเพิ่มเข้ามาหรือบางมืออาจ มีเส้นอาทิตย์หรือเส้นอื่น
การแสดงออกทางกายเป็นคน เคลื่อนไหวเร็วไม่ชอบอยู่นิ่ง  ชอบ-ทำหรือทดลองสิ่งต่าง ๆตาม ที่คิดไว้  ชอบการสังคมกระตือรือร้น มีความต้องการหรือทะยาน-อยาก เป็นธรรมชาติอุปนิสัยหรือความคิดไม่ยึดกรอบ ประเพณีมีความคิดอิสระบางครั้งก็จริงจัง แต่บางครั้งก็อาจล้ม เลิกได้ง่าย ๆมีความคิดสร้างสรรค์ วิสัยทัศกว้างไกลคิดใหม่ทำใหม่ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อาชีพการงานและความสำเร็จขึ้น อยู่กับรูปมือถ้าฐานมือกว้างต้องการอาชีพการงานที่มีรายได้ หรือทำอะไรก็ตามขอให้ผลตอบแทนเป็นรูปธรรมแต่มือที่ด้านบนกว้างมักจะชอบด้าน วิชาการ ไม่สนใจเรื่องรายได้หรือผลตอบแทนที่เป็นวัตถุจะอย่างไรก็ตาม มือแบบใบพายนี้ ส่วนมากมักจะ ประสบผลสำเร็จในอาชีพการงานที่ตนเองรักชอบเพราะมีการพัฒนาปรับปรุงให้ ทันสถานการณ์ตลอดเวลา

 มือนักปราชญ์ ข้อนิ้วโปน มือนักคิด นักบวช 4.มือนักปราชญ์ (Philosophic Hand)   พัฒนามาจากมารูปใบพาย  นิ้วมือจะมีข้อโต เส้นเอ็นขึ้นหลังมือ มักจะเป็นคนเอาจริงเอาจังกับหน้าที่การงาน เป็นนักคิด นักปรัชญา มุ่งสู่ความสำเร็จ หาเหตุผล เป็นนักวิชาการ นักพรต นักบวชก็มี
นิ้วมือเป็น ได้ทั้งนิ้วกลม  หรือใบพาย  แต่มีข้อนิ้วที่โต หรือข้อโป่ง มองดูไม่สวยงาม
เล็บปลายนิ้วมือใบพาย  หรือตัด หรือกลมก็มีได้ทั้งนั้นซึ่งจะส่งผลกับอาชีพการงานหรือลักษณะ ที่แสดงออกทางอาชีพหรือความ
สนใจในศาสตร์ใด
เนินในมือเนิน ในมืออาจไม่อิ่มเต็มเนื้อค่อนข้างแข็งแต่ก็ยืดหยุ่นมีสปริงส่วน ใหญ่มักจะมือไม่หนา
เส้นลายมือมีสามเส้นหลัก คือชีวิตสมองและเส้นจิตมีเส้นวาสนาเพิ่มเข้ามาหรือบางมืออาจ มีเส้นอาทิตย์หรือเส้นอื่น
การแสดงออกทางกายเคร่ง ขรึม เก็บตัว ไม่ชอบสังคม
อุปนิสัยหรือความคิดเจ้า ความคิด เจ้าปัญญาฉลาดหลักแหลม สุขุมเชื่อมั่น มีอุดมการณ์สูงไม่งมงาย เชื่อในหลักวิทยา-ศาสตร์ เชื่อในเหตุผลมีความมุ่งมั่นจริงจัง กับชีวิตและหน้าที่การงาน
อาชีพการงานและความสำเร็จเป็น นักวิชาการ นักศาสนาปักปรัชญา นักวิทยาศาสตร์หรือแม้กระทั่งนักการเมืองนักประพันธ์   หรือสรรพศาสตร์ด้านต่าง ๆจะสำเร็จกับอาชีพ ใด นั้นขึ้นอยู่กับอิทธิพลของนิ้ว เช่น ใบพายก็จะเป็นนักประดิษฐ์ วิศวกรรมต่าง ๆ , รูปกรวยก็จะเป็นนักประพันธ์  หรือวรรณศิลป์

 มือศิลป์
 5.มือศิลป์ (Artistic Hand) เป็นมือที่พัฒนาการขึ้นมากจากมือนักปราชญ์ ฯ รูปมือจะเรียวสวยงาม นิ้วยาวอิ่มจากโคนนิ้วเรียวไปทางปลายนิ้ว ปลายนิ้วกลมมน เนื้อเต็ม หลังมือเรียบ มือศิลป์ส่งอิทธิพลให้เจ้าของมือเป็นคนชอบศิลป์แขนงต่าง ๆ รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ชอบเข้าสังคม แต่อารมณ์มักอ่อนไหวและเปลี่ยนแปลง
รูปลักษณ์ของ มือ หรือลักษณะมือเป็นมือที่เรียวสวย นิ้วเรียวงาม หรือบางทีอาจเรียกว่ามือนิ้วกรวย ฝ่ามือเนื้อหนาเต็มปลายนิ้วกลมมนหมดจด   หลังมืออิ่มเต็ม
นิ้วมือนิ้วอิ่มเรียวงาม หรือเรียกว่านิ้วรูปกรวย ปลายนิ้วกลมมน
เล็บปลายนิ้วมือปลายเรียว  หรือกลมมนก็ได้
เนินในมือเนินในมืออิ่มเต็ม หลังมืออิ่ม
เส้นลายมือมี สามเส้นหลัก คือชีวิตสมองและเส้นจิตมีเส้นวาสนา เส้น-อาทิตย์ และอื่น ๆส่วนมากจะคมชัด
การแสดงออกทางกายรักสวยรักงาม เป็นคนทันสมัย หน้าตาดี รูปร่างลักษณะทางกายจะได้สัดส่วนสวยงามชอบ สังคม  พูดจาดี
น้ำเสียงไพเราะ  ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
อุปนิสัยหรือ ความคิดมนุษย์สัมพันธ์ดี  อารมณ์อ่อนไหว  โกรธง่ายหายเร็วละเอียด ประณีต บรรจงมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์บ่อย ๆ ไม่แน่นอน
อาชีพการงานและความสำเร็จ นักการ ทูต เลขานุการ ช่างเสริมสวย  นักอออกแบบ นักดนตรีศิลปกรรม ประติมากรรมหรืองานใด ๆ ก็ตามที่เกี่ยวกับการ
ใช้ศิลป์จะสำเร็จ มากน้อยขึ้นอยู่กับฐานะเดิม และเส้นในมือประกอบ

มือเรียวแหลมหรือมือนักคิดนักฝัน หรือมือคนทรง
6.มือไอเดีย(Idealistic hand) มือไอเดียวคล้ายกับมือศิลป์ จะแตกต่างตรงนิ้วคือนิ้วจะกลมและยาวโคนนิ้วอิ่ม ปลายเรียวและปลายนิ้วออกแหลม แต่มือจะบางกว่า มักจะเป็นคนที่จินตนาการเกินจริง เป็นนักคิดฝัน ซึ่งอาจคิดฝันในสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้ในความเป็นจริง  หากมือบางนิ่ม เส้นในมือไม่ดีแล้วจะไม่ประสบผลสำเร็จในชีวิต
รูปลักษณ์ของมือ หรือลักษณะมือรูปแบบมือจะทรงกรวย  ฝ่ามือบาง นิ้วโปร่งปลายนิ้วเรียวแหลม ถือเป็นมือที่พัฒนาถึงขั้นสูงสุดแล้วจะมี 3 ลักษณะ คือ
1.ฝ่ามือนิ่ม ขนาดปานกลาง หัวแม่มือเล็ก-ชอบงานประณีตศิลป์
2.ฝ่ามือหนา สั้น หัวแม่มือใหญ่-สามารถสร้างตัวให้ประสบผลสำเร็จได้
3.ฝ่ามือใหญ่หนาและแข็ง-เป็นผู้มีพลังสูงแต่อาจใช้ไปในทางที่ไม่ถูกต้องเช่นสร้างความสุขสนองอารมณ์ของตัวเองเป็นหลัก
นิ้วมือนิ้วยาว  โปร่งแหลม ปลายแหลมเล็บปลายนิ้วมือเล็บยาว กลม
นินในมือเนินในมือบาง หลังมืออิ่ม
เส้นลายมือมีสามเส้นหลัก คือชีวิตสมองและเส้นจิตมีเส้นวาสนา เส้น-อาทิตย์และอื่น ๆส่วนมากจะยุ่งเหยิงหรือคมชัดก็มีได้
การแสดงออกทางกายขึ้นอยู่กับลักษณะมือ3 แบบ แต่ที่เด่นชัดมักจะเป็นคนจับจด เฟ้อฝันสร้างหลักการหรือวิมานในอากาศ ชอบการแต่งตัวชอบการศิลปะดนตรี รักชอบในบทกวี
อุปนิสัยหรือความคิดมักจะฝันสูงกว่าความเป็นจริงมองอะไรไว้สูงส่ง แต่ก็ไม่มีวิธีแผนงานหรือวิธีการที่ชัดเจนในการเข้าถึงเป้าหมายแต่ก็ขึ้นอยู่กับแบบมือ 1-3
อาชีพการงานและความสำเร็จขึ้นอยู่กับรูปมือแต่ละแบบ
1.ฝ่ามือนิ่ม ขนาดปานกลางหัวแม่มือเล็กเหมาะกับงานประดิษฐ์หรือประณีตศิลป์ต่าง ๆ  จึงจะประสบผลสำเร็จ
2.ฝ่ามือหนา สั้น หัวแม่มือใหญ่มักจะมีช่องทางหรือวิธีที่จะผันตัวเองไปสู่ความสำเร็จได้ มีชื่อเสียงในสังคม
3.ฝ่ามือใหญ่หนาและแข็ง มักจะมีความโน้มเอียงไปในทางมักมากในกามคุณ หากเนินศุกร์ใหญ่หนาและมีตะแกรง  มักจะหลีกสังคมและเก็บ
ตัว หากมีฐานะดีอยู่ก่อนก็พอจะประสบผลสำเร็จได้

มือผสม 7.มือผสม(Mix UP-Hand) มือผสมคือมือที่รวมหลายมือเข้าด้วยกัน สังเกตจากลักษณะเล็บ และนิ้วมือ ส่วนใหญ่มักจะมีความรู้หลายอย่างแต่ไม่เชี่ยวชาญหรือไม่จริงนัก  จะชอบทำอะไรรู้อะไรไปเสียทุกเรื่อง แต่มักจะเอาดีได้ยาก
รูปลักษณ์ของมือ หรือลักษณะมือลักษณะมือหลายประเภทผสมกันไม่มี-ลักษณะใดจาก 1 - 6 ที่เด่นชัดกว่ากัน
นิ้วมือมีลักษณะหลายแบบแตกต่างแต่ละนิ้ว
เล็บปลายนิ้วมือมีหลายแบบแต่ละนิ้ว
เนินในมือขึ้นอยู่กับมือ
เส้นลายมือมีสามเส้นหลัก คือชีวิตสมองและเส้นจิตมีเส้นวาสนาเพิ่มเข้ามาหรือบางมืออาจมีเส้นอาทิตย์หรือเส้นอื่น
การแสดงออกทางกาย ขึ้นอยู่กับลักษณะมือ 3 แบบที่กล่าวมา แต่ที่เด่นชัดมักจะเป็นคนจับจดเฟ้อฝันสร้างหลักการหรือวิมานในอากาศ ชอบการแต่งตัว ชอบการศิลปะดนตรี รักชอบในบทกวี ไม่ชอบกฎระเบียบและรักสะดวกสบาย
อุปนิสัยหรือความคิดขึ้นอยู่กับอิทธิพลของลักษณะนิ้วและเนินในมือเช่นเนินเสาร์สวย นิ้วเสาร์รูปกรวย ก็จะเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถในอาชีพและ
การค้าการขาย
อาชีพการงานและความสำเร็จส่วนใหญ่จะไม่ค่อยประสบผลสำเร็จสูงนัก เพราะมักจะสนใจหลายอย่างหรือไม่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านหนึ่งด้านใดโดยเฉพาะ จึงไม่ก้าวหน้าหรือขึ้นถึงจุดสูงสุดได้

ขอบคุณจาก www.handhoro.com/web2012/index.php?option=com

ภาษาฝรั่งเศสเบื้องต้น

1. อักษรในภาษาฝรั่งเศส (L'alphabet français)

a อ่านว่า อา

b อ่านว่า เบ

c อ่านว่า ท์เซ

d อ่านว่า เด

e อ่านว่า เออ (ห่อปาก)

f อ่านว่า แอ็ฟ

g อ่านว่า เช

h อ่านว่า อาช

i อ่านว่า อี

j อ่านว่า ฌี

k อ่านว่า กา

l อ่านว่า แอล

m อ่านว่า แอ็ม

n อ่านว่า แอ็น

o อ่านว่า โอ

p อ่านว่า เป

q อ่านว่า กูว์

r อ่านว่า แอร์

s อ่านว่า แอส

t อ่านว่า เต

u อ่านว่า อู

v อ่านว่า เว

w อ่านว่า ดุบเบลอะเว

x อ่านว่า อิกซ์

y อ่านว่า อีแกร็กซ์

z อ่านว่า แซด
2. สระ (Les voyelles)ได้แก่ a,e,i,o,u,y นอกนั้นเป็นพยัญชนะ (Les consonnes)

ส่วน H (อาช) นั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทได้แก่ H muet และ H aspire

1. H muet : จะมีค่าเป็นสระ และทำการเชื่อมเสียงต่อเนื่องเมื่อมีคำนำหน้า

เช่นในคำว่า l'hopital โรงพยาบาล -> un hôpital (เอิง-โน-ปิ-ตอล) = โรงพยาบาล 1 แห่ง

                                             -> l'homme (ลอม-เม่) = ผู้ชาย 1 คน

**เมื่อคำใดขึ้นต้นด้วย H muet แล้วมี articles definis (le, la, les)นำหน้า จะต้องลดรูป le, la เป็น l'ในการอ่านจะต้องอ่านเชื่อมเสียงกัน

2. H aspire : ออกเสียง อ (o) ตามปกติ ไม่ต้องเชื่อมเสียงและลดรูป 

เช่นในคำว่า la haie รั้วต้นไม้,  le honte (เลอ-ออง-เต้) = ความอาย, le héros (เลอ-เอ-โร่) = พระเอก วีรบุรุษ


**เมื่อคำใดขึ้นต้นด้วย H aspire แล้วมี articles definis (le, la, les)นำหน้าไม่ต้องลดรูป และไม่ต้องอ่านเชื่อมเสียง



2. การนับเลขในภาษาฝรั่งเศส
    

    0   Zéro อ่านว่า ซี โคร
  
    1   Un อ่านว่า เอิง

    2   Duex อ่านว่า เดอซ์

    3   Trois อ่านว่า ทรัวซ์

    4   Quatre อ่านว่า กาท เทรอะ

    5   Cinq อ่านว่า แซง

    6   Six อ่านว่า ซิซ

    7   Sept อ่านว่า เซท (เทอะ)

    8   Huit อ่านว่า วิทท์

    9   Neuf อ่านว่า เนิฟ

    10 Dix อ่านว่า ดิซ

3. สระในภาษาฝรั่งเศส Les voyelles
สระในภาษาฝรั่งเศส Les voyelles อ่านว่า เลอ โวแยล
สระในภาษาฝรั่งเศสจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

I. Voyelles Simples (โวแยล-แซมป์) คือสระเดี่ยวมีทั้งหมด 6 ตัว

1. a (อา)
2. e (เออ)
3. i (อี)
4. o (โอ) - มี 2 ชนิด ได้แก่
    - o fermé (โอ-ฟอเม่) ออกเสียง โอ
    - o ouvert (โอ-อูแวร์) ออกเสียง ออ
5. u (อู )
6. y (อี) 


II. Voyelles Compossées (โวแยล-กง-โปส-ซี) คือสระผสม เป็นสระที่ผสมระหว่าง 2 สระเดี่ยวขึ้นไป เมื่อผสมแล้วจะได้เสียงใหม่เช่น


1. an, en (ออง)
2. on, om (อง)
3. au, eau (โอ)
4. ou (อู)
5. oi, oy (อัว)
6. oin (อวง)
7. ain, ein, in (แอ็ง)
8. un, um (เอิง)
9. ail (อาย)
10. ei, ai (แอ)
11. eil (แอย)
12. el (แอล)
13. ie (อี)
14. ai (เอ)
15. eu, oeur (เออ)
16. ien (เอียง)
17. ienne (เอียน)
18. euil (เออย)


มานับเลขต่อ จาก 11-100 (ถูกผิดอย่างไร..ขอช่วยกันแก้ไขละกัน เพราะขนาดภาษาไทย ยังนับไปงงไป Grin )

11 onze องซ์
12 douze ดูซ
13 treize แทรซ์
14 quatorze กาตอรซ์
15 quinze แกงซ์
16 seize แซซ
17 dix-sept ดีเซท
18 dix-huit ดีวิท
19 dix-neuf ดีเนิฟ
20 vingt แวง


21 vingt et un แวงเตเอิง
22 vingt-deux แวงเดอ
23 vingt-trois แวงทรัว
24 vingt-quatre แวงกัทเทรอะ
25 vingt-cinq แวงแซงค์
26 vinght-six แวงค์ซิซ
27 vinght-sept แวงค์เซทเตอะ
28 vinght-huit แวงค์วิทเตอะ
29 vinght-neuf แวงค์เนิฟ
30 trente ทรองเตอะ

31 trente et un ทรองเตอะเตเอิง
32 trente-deux ทรองเตอะเดอ
33 trente-trois ทรองเตอะทรัว
34 trente-quatre ทรองเตอะกัทเทรอะ
35 trente-cinq ทรองเตอะแซงค์
36 trente-six ทรองเตอะซิซ
37 trente-sept ทรองเตอะเซทเตอะ
38 trente-huit ทรองเตอะวิทเตอะ
39 trente-neuf ทรองเตอะเนิฟ
40 quarante การองเตอะ


41 quarante et un การองเตอะเตเอิง
42 quarante-deux การองเตอะเดอ
43 quarante-trois การองเตอะทรัว
44 quarante-quatre การองเตอะกัทเทรอะ
45 quarante-cinq การองเตอะแซงค์
46 quarante-six การองเตอะซิซ
47 quarante-sept การองเตอะเซทเตอะ
48 quarante-huit การองเตอะวิทเตอะ
49 quarante-neuf การองเตอะเนิฟ
50 cinquante แซงกอง

51 cinquante et un แซงกองเตเอิง
52 cinquante-deux แซงกองเดอ
53 cinquante-trois แซงกองทรัว
54 cinquante-quatre แซงกองกัทเทรอะ
55 cinquante-cinq แซงกองแซงค์
56 cinquante-six แซงกองซิซ
57 cinquante-sept แซงกองเซทเตอะ
58 cinquante-huit แซงกองวิทเตอะ
59 cinquante-neuf แซงกองเนิฟ
60 soixante ซัวซอง 


61 soixante et un ซัวซองเตเอิง
62 soixante-deux ซัวซองเดอ
63 soixante-trois ซัวซองทรัว
64 soixante-quatre ซัวซองกรัทเทรอะ
65 vingt-cinq ซัวซองแซงค์
66 soixante-six ซัวซองซิซ
67 soixante-sept ซัวซองเซทเตอะ
68 vinght-huit ซัวซองวิทเตอะ
69 soixante-neuf ซัวซองเนิฟ
70 soixante-dix ซัวซองดิซ

71 soixante et onze ซัวซององซ
72 soixante-douze ซัวซองดูซ
73 soixante-treize ซัวซองแทซ
74 soixante-quatorze ซัวซองกาตอรซ์
75 soixante-quinze ซัวซองแกงซ์
76 soixante-seize ซัวซองแซซ
77 soixante-dix-sept ซัวซองดีสแซ็ต
78 soixante-dix-huit ซัวซองดีสวิท
79 soixante-dix-neuf ซัวซองดีสเนิฟ
80 quatre-vingts กัทเทรอะแวง 


81 quatre-vingt-un กัทเทรอะแวงเอิง
82 quatre-vingt-deux กัทเทรอะแวงเดอ
83 quatre-vingt-trois กัทเทรอะแวงทรัว
84 quatre-vingt-quatre กัทเทรอะแวงกรัทเทอร์
85 quatre-vingt-cinq กัทเทรอะแวงแซงค์
86 quatre-vingt-six กัทเทรอะแวงซิซ
87 quatre-vingt-sept กัทเทรอะแวงแซ็ต
88 quatre-vingt-huit กัทเทรอะแวงวิท
89 quatre-vingt-neuf กัทเทรอะแวงเนิฟ
90 quatre-vingt-dix กัทเทรอะแวงดิซ

91 quatre-vingt-onze กัทเทรอะแวงองซ
92 quatre-vingt-douze กัทเทรอะแวงดูซ
93 quatre-vingt-treize กัทเทรอะแวงแทซ
94 quatre-vingt-quatorze กัทเทรอะแวงกาตอรซ์
95 quatre-vingt-quinze กัทเทรอะแวงแกงซ์
96 quatre-vingt-seize กัทเทรอะแวงแซซ
97 quatre-vingt-dix-sept กัทเทรอะแวงดีสแซ็ต
98 quatre-vingt-dix-huit กัทเทรอะแวงดีสวิท
99 quatre-vingt-dix-neuf กัทเทรอะแวงดีสเนิฟ
100 cent ซ็อง 
...อย่าเผลออ่านเซ็งล่ะ Grin

100 = cent (ซ็อง) หนึ่งร้อย
1000 = mille (มิลย์) หนึ่งพัน
10000=dix mille (ดิก-มิลย์) หนึ่งหมื่น
100000=cent mille (ซ็อง-มิลย์) หนึ่งแสน
1000000 = million (มิลลิอง) หนึ่งล้าน
10,000,000 = dix millions (ดิก-มิลลิอง) สิบล้าน
100,000,000= cent millions (ช็อง-มิลลิอง) ร้อยล้าน
1,000,000,000= un milliard (เอิง-มิลลิอา-ทคึ) พันล้าน
1,000,000,000,000= un trillion (เอิง-ติล-ริอง) ล้านล้าน   Grin
4. L’article


L’article อ่านว่า ลาคติก


คำนำหน้าคำนามเพื่อบ่งบอกเพศของคำนามนั้นๆ เนื่องจากในภาษาฝรั่งเศส คำนามแต่ละคำจะมีเพศและพจน์ในตัวของมันเอง

L’article ในภาษาฝรั่งเศสมีทั้งหมด 6 ตัว แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1.  L’article indifini (ลาคติก แองดิฟินี): คำนำหน้าคำนามที่ไม่เจาะจง มีทั้งหมด 3 ตัว คือ

Un (เอิง): นำหน้าคำนามเอกพจน์เพศชายที่ไม่เจาะจง-> un garçon (เอิง-กาซง) = เด็กผู้ชาย 1 คน

Une (อูน): นำหน้าคำนามเอกพจน์เพศหญิงที่ไม่เจาะจง->une fleur (อูน-เฟลอ) = ดอกไม้ 1 ดอก

Des (เด):  นำหน้าคำนามพหูพจน์ใช้ได้ทั้งเพศชายและเพศหญิงที่ไม่เจาะจง

-> des habits (เด-ซาบิ) = เสื้อผ้าหลายชิ้น (เพศชาย)

->des roses (เด-โทคส) = ดอกกุหลาบหลายดอก (เพศหญิง)   
             


2.  L’article défini ( ลาคติก เดฟินี ) คำนำหน้าคำนามที่เจาะจง มีทั้งหมด 3 ตัว คือ

Le (เลอ): นำหน้าคำนามเพศชายเอกพจน์ที่เจาะจง-> le français (เลอ-ฟรองเซ่) = ภาษาฝรั่งเศส


La (ลา): นำหน้าคำนามเพศหญิงเอกพจน์ที่เจาะจง -> la thaïlande (ลา-ไตลอง-เดะ) = ประเทศไทย


Les (เล): นำหน้าคำนามพหูพจน์ใช้ได้ทั้งเพศชายและหญิงที่เจาะจง

->les chiens (เล-เชียง) = สุนัขหลายตัว (เพศชาย)

->les jupes (เล-ฌูป์) = กระโปรงหลายตัว (เพศหญิง)


การทักทาย
Bonjour บงฌูร์  สวัสดี
Je m'appelle.... เฌอ มาแป็ล  ฉันชื่อ
Comment allez-vous? กอมอง ตาเล่ วู? คุณสบายดีมั้ย
Je vais bien. เฌอ เว เบียง ฉันสบายดี
Et vous? เอ วู? แล้วคุณล่ะ
Merci แมร์คซี่ ขอบคุณ
Merci beaucoup แมร์คซี่ โบกู ขอบคุณมาก
A bientot อา เบียงโต แล้วพบกันใหม่
ขอบคุณจาก www.tureplookpanya.com