บทที่
๖ - เหตุใดจึงมีสติปัญญามาก?
ถึงแม้เกิดมาเป็นคนสวยคนหล่อ
หรือต่อให้มีฐานะดีปานใด หากไร้ซึ่งสติปัญญาความสามารถแล้ว ก็เรียกได้ว่า
‘มีไม่ครบสูตร’
ลองนึกดูว่าถ้ามีอะไรๆดีหมด แต่คิดอ่านไม่ทันคนก็อาจเข้าตำราสวยแล้วถูกหลอกง่าย หรือถ้ารวยแล้วไม่ทันเกมธุรกิจ
รูปสมบัติและคุณสมบัติก็คงไม่ช่วยให้มีความสุขกับชีวิตใหม่เท่าใดนัก
เป็นที่ถกเถียงกันมาช้านานว่าสติปัญญามาจากไหน
ถ้าบอกว่ามาจากเชื้อของพ่อแม่หรือคนในตระกูลก็ลืมได้ เพราะนั่นจะไม่ใช่ความจริงสากล
เนื่องจากบางคนฉลาดระดับอัจฉริยะในขณะที่พ่อแม่มีสติปัญญาปานกลางหรือค่อนข้างต่ำด้วยซ้ำ
บางคนก็บอกว่าสติปัญญาเป็นสิ่งที่เพิ่มพูนได้ด้วยความรู้และประสบการณ์
หรือสะกิดให้ถูกจุดความสนใจ ก็เกิดการใฝ่ใจเรียนรู้
และเป็นที่มาของการต่อยอดปัญญายิ่งๆขึ้นไปได้ แต่ความเชื่อนี้ก็ไม่ใช่สัจจะสากลอีก
เพราะบางคนเรียนกี่ปีๆก็ยังคงมีไอคิวเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเลย
เดี๋ยวนี้เวลามนุษย์จะหาหลักฐานมาสนับสนุนความเชื่อของตัวเอง
ก็มักใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็ได้แก่การตรวจสอบวัตถุอันเป็นรูปธรรมต่างๆ
ตั้งแต่สมองจนถึงดีเอ็นเอ
ความจริงคือหยักสมองและพันธุกรรมอาจมีส่วนช่วยให้คนเราออกจากจุดเริ่มต้นต่างกัน
แต่สมองและพันธุกรรมเป็นเพียงวิบากชนิดหนึ่ง หากปราศจากการตกแต่งของกรรมแล้ว
สมองและพันธุกรรมของทุกคนจะต้องเริ่มต้นเหมือนกันหมด ทุกคนจะฉลาดเท่ากัน
เป็นดอกเตอร์ได้เหมือนๆกัน และโลกนี้ก็จะไม่มีความแตกต่างทางปัญญา
หรือแม้ทางความคิดอยู่เลย
ความต่างระหว่างปัญญากับความฉลาด
หากดูในพจนานุกรม
จะเห็นว่าปัญญากับความฉลาดเป็นคำแปลของกันและกัน
ปัญญาหมายถึงความฉลาดที่เกิดจากการเรียนและคิด ส่วนฉลาดหมายถึงการมีปัญญาดี
เพราะฉะนั้นจะมองเป็นคนละด้านของเหรียญก็ได้
แต่เพื่อให้เป็นที่เข้าใจความหมายและมองเห็นภาพกว้างตรงกัน
ก็ขอจำแนกนิยามของปัญญากับความฉลาดไว้ดังนี้
ปัญญา
หมายถึงความรอบรู้ ความรู้ทั่ว ไม่แคบจำกัดอยู่ตรงจุดเล็กๆ ถ้ารู้มากเรื่องเดียว
ถามอย่างอื่นนอกเหนือจากนั้นแล้วเป็นใบ้ ก็ไม่เรียกเป็นปัญญาได้เต็มปากเต็มคำ
ที่มักได้ยินกันบ่อยในโครงการพัฒนาชนบทได้แก่ ‘ภูมิปัญญาชาวบ้าน’
ซึ่งหมายถึงความรู้ที่ได้มาจากประสบการณ์
หาไม่ได้จากตำราทั่วไป
เพราะถ้าหาได้จากตำราก็เรียกว่าลอกเลียนเขามา
ไม่ต้องใช้ปัญญาคิดค้นอะไรขึ้นมาเอง
ความฉลาด
หมายเอาความมีไหวพริบดี ปฏิภาณดี พูดง่ายๆว่าแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันการณ์
ตรงนี้เรามักเทน้ำหนักให้ความสามารถในการรับข้อมูลจำนวนหนึ่งเข้ามาในหัว
แล้วเห็นความเชื่อมโยงกลุ่มข้อมูลเหล่านั้นได้ตั้งแต่หนึ่งแง่มุมขึ้นไปในเวลาไม่เนิ่นช้า
ยิ่งเห็นได้หลายแง่มุมโดยใช้เวลาน้อยลงเท่าไหร่
ก็นับว่าฉลาดกว่าคนปกติมากขึ้นเท่านั้น
ตัวอย่างเช่นนักสืบเข้าไปในที่เกิดเหตุฆาตกรรมซึ่งไม่มีใครรู้เห็นเหตุการณ์จริง
แต่นักสืบมองปราดไปโดยรอบ เห็นวัตถุต่างๆ เห็นร่องรอยการต่อสู้
รวมทั้งรับฟังการบอกเล่าจากพยาน ก็อาจสรุปได้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีการต่อสู้แบบไหน
คนร้ายใช้อาวุธชนิดใด ฯลฯ อย่างนี้เรียกว่าความฉลาด
บางทีไม่ต้องเป็นนักสืบอาวุโสที่ผ่านประสบการณ์โชกโชนหลายสิบปีเสียก่อนก็หัวไวพอจะโยงอะไรต่ออะไรเองได้
คราวนี้ขอมองจุดร่วมระหว่างความมีปัญญากับความเป็นคนฉลาด
โดยมองเฉพาะขณะความรู้สึกของจิตที่กำลังมีปัญญา และ/หรือ
ความฉลาด
๑)
ขณะนั้นมีสติรู้เห็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งแจ่มชัดตามจริงไม่ผิดเพี้ยน
๒)
ขณะนั้นทราบดีว่าเรื่องนั้นๆมีองค์ประกอบสำคัญใดอยู่บ้าง
๓)
ขณะนั้นรู้ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆเป็นอันดี
ในแง่มุมหนึ่งหรือหลายแง่มุม
๔)
ขณะนั้นหากจำเป็นต้องแก้ปัญหา หรือต้องคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ก็สามารถโยงสิ่งต่างๆเข้ามาถักทอเป็นสะพานเข้าถึงจุดหมายปลายทางตามประสงค์
ยิ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญามากหรือฉลาดมากขึ้นเท่าใด
ก็จะยิ่งมีคุณสมบัติของจิตดังกล่าวมากขึ้นเท่านั้น
มองอีกแง่หนึ่งตามนิยามที่ต่างกันเล็กๆน้อยๆ
คนมีปัญญามากอาจใช้ความรู้ทำให้เกิดข้อสรุปที่เป็นคุณยิ่งใหญ่
ส่วนคนฉลาดมากอาจใช้เวลาเพียงสั้นๆในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ฉะนั้นความมีปัญญามากกับความฉลาดมากอาจรวมอยู่ในคนๆเดียวกันหรือต่างคนก็ได้
เช่นเสนาธิการทหารใหญ่อาจเป็นผู้วางนโยบายที่สมบูรณ์แบบซึ่งนำไปสู่ชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
แต่อาจต้องใช้เวลาพิจารณาข้อมูลเพื่อวางแผนให้รอบคอบสักนิดหนึ่ง
ไม่อาจคิดคำนวณแบบปุบปับฉับพลันทันด่วน เป็นต้น
สมัยพุทธกาลเมื่อกล่าวถึงปัญญา
จะหมายถึงปัญญาได้หลายแบบ ซึ่งอาจรวมอยู่ในคนๆเดียว หรืออาจมีคนละนิดคนละหน่อย
เช่นการมีปัญญามาก การเป็นคนเจ้าปัญญา เป็นผู้มีปัญญาชวนให้ร่าเริง มีปัญญาแล่นเร็ว
มีปัญญาหลักแหลม มีปัญญาแทงตลอด มีปัญญาแน่นหนา มีปัญญาไพบูลย์ มีปัญญาลึกซึ้ง
มีปัญญาดังแผ่นดิน มีปัญญาคมกล้า มีปัญญาหาประมาณมิได้
ชนิดของปัญญาต่างๆเหล่านี้ล้วนบ่งบอกถึงสภาพจิตในขณะนั้นๆทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างเช่นบางคนสนุกกับการคิดเรื่องยากๆได้อย่างต่อเนื่อง
ก็เรียกว่าเป็นผู้มีปัญญาชวนให้ร่าเริง
แต่อาจจะไม่ได้เป็นผู้มีปัญญาคมกล้าประดุจดาบเหล็กที่สามารถตัดเครื่องขวางขาดสองท่อนในทันทีทันใด
พอพูดถึงเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์แทนปัญญานั้น
หลายแห่งมักใช้ตัวหมากรุกกันเป็นส่วนใหญ่
ทั้งนี้เพราะเกมหมากรุกได้รับการยอมรับมานับพันปีว่าเป็นเกมที่ต้องใช้ทางเล่ห์กล
ใช้ปฏิภาณ ใช้จินตนาการ ใช้ความคิดสร้างสรรค์
รวมทั้งกำลังสติอย่างมากในการเอาชนะกัน
เสน่ห์ของเกมนี้ยิ่งใหญ่ขนาดที่ดึงดูดคนหัวดีไปทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตให้กับมันแบบมืออาชีพ
และเมื่อแข่งกันระดับโลกสามารถล่าเงินรางวัลกันได้เป็นล้านเหรียญ
คนฉลาดอาจเห็นหมากรุกเป็นเครื่องวัดความฉลาด
คือยิ่งชนะมากก็ยิ่งฉลาดมาก
แต่คนมีปัญญาอาจเห็นว่าการหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับหมากรุกทั้งวันทั้งคืนตลอดชีวิตนั้น
จัดเป็นการถูกหลอกให้เอาความฉลาดไปหมกมุ่นและจมปลักอย่างโง่เขลาเสียมากกว่า
แทนที่จะเอาความฉลาดมาพัฒนาโลกให้ดีขึ้น
เพราะความจริงก็คือนักหมากรุกบางคนฉลาดขนาดเป็นอะไรก็ได้ที่อยากเป็น
ตั้งแต่วิศวกรขององค์การนาซ่า
ตลอดไปจนกระทั่งแพทย์ในทีมวิจัยพัฒนารักษาโรคเอดส์
แต่ฝ่ายนักหมากรุกก็อาจเถียงกลับ
ว่าแล้วการใช้ความฉลาดไปทางอื่นช่วยให้โลกนี้ดีขึ้นได้สักแค่ไหน
ไอน์สไตน์ปฏิวัติทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
แต่ผลคือโลกเราได้เห็นอานุภาพที่น่าสะพรึงกลัวของระเบิดนิวเคลียร์ ๒
ลูกแรกในที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ ยอดรวมคนตายทั้งทันทีและอีก ๔
เดือนต่อมาประมาณสองแสนคน
ยังไม่นับความบาดเจ็บทางกายและความเสียหายทางจิตวิญญาณที่ประมาณได้ยากว่าเท่านั้นเท่านี้
อีกประการหนึ่ง
บางชาติเช่นรัสเซียและจีนทุ่มกำลังเงิน กำลังคน
และเวลาหลายทศวรรษเพื่อชิงความเป็นที่หนึ่ง
ผู้ชนะจะได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษของประเทศ
และคำพูดของผู้ชนะอาจมีอิทธิพลกระทบแม้การเมืองระดับชาติ
ทั้งนี้เพราะหมากรุกเป็นเกมทางปัญญาที่แข่งกันระดับโลก หากชาติใดคว้าชัยไป
หรือชาติไหนมีคนเก่งหมากรุกอยู่มากๆ
ก็แปลว่าชาตินั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงปัญญาเหนือเผ่าพันธุ์อื่น
เขามองกันอย่างนี้จริงๆ
จะเห็นว่าการใช้ปัญญาหรือความฉลาดนั้นเป็นไปได้ทุกทาง
แล้วแต่จะคิด แล้วแต่จะตัดสินใจเลือกเอา เพราะทุกๆทางมีคุณค่าของตัวเอง
และอาจแฝงโทษของตัวเองไว้ก็ได้ทั้งสิ้น
หากมาตั้งมุมมองกันอีกแบบหนึ่ง
คือทำอย่างไรจะใช้ปัญญาและความฉลาดที่มีอยู่ทั้งหมดให้เป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดโดยไม่แฝงโทษไว้เลย
ก็คงจำเป็นต้องมองไปโดยรอบ ต้องหาให้เจอเสียก่อนว่าประโยชน์สูงสุดคืออะไร
อยู่ที่ไหน
และจะอาศัยปัญญาหรือความฉลาดมาช่วยให้เข้าถึงด้วยท่าใด
ในความหมายของพระพุทธเจ้า
บุคคลผู้จัดเป็นบัณฑิตหรือมีปัญญามากนั้น คือผู้ที่ไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตน
ไม่คิดเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น ถ้าจะคิดก็คิดเพื่อเกื้อกูลแก่ตน เกื้อกูลแก่ผู้อื่น
และเกื้อกูลแก่โลกทั้งหมดเลยทีเดียว
ฟังดูเหมือนง่ายๆและเป็นไปตามสามัญสำนึก
แต่ถ้าถามคำถามเดียวสั้นๆแค่ว่า ‘การคิดไม่เบียดเบียนตนเป็นอย่างไร?’
ก็คงมีน้อยเท่าน้อยที่ตอบถูก
เหตุเพราะปัญญาของชาวโลกส่วนใหญ่ถูกเบียดบังด้วยคลื่นหมอกราคะ โทสะ โมหะหนาแน่น
กระทำการโดยมากเพื่อรับใช้ราคะ โทสะ โมหะ
โดยไม่อาจทราบได้ว่ามีกี่การกระทำที่เผลอเบียดเบียนตนเข้าไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่พระพุทธองค์พร่ำตรัสสอนอยู่เสมอนั้น
จะเรียกว่าเป็น ‘วิชารู้ตามจริง‘
ก็ได้ คือท่านชี้ให้มองว่าสิ่งใดคือประโยชน์ สิ่งใดคือโทษ
สิ่งใดเป็นทางหลุดพ้นจากเขาวงกตแห่งความหลงไม่รู้
กรรมที่ทำให้มีปัญญามาก
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม
จะได้ชื่อว่าสร้างเหตุแห่งการเป็นผู้มีปัญญามาก
ก็เมื่อเข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วสอบถามว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ
อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ อะไรที่ทำแล้วเป็นโทษ
หรือเป็นไปเพื่อต้องทนทุกข์จนสิ้นกาลนาน อะไรที่ทำแล้วเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
หรือเป็นไปเพื่อความสุขจนสิ้นกาลนาน
เมื่อไถ่ถามหรือใฝ่รู้อยู่โดยอาการอย่างนี้
ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดถามในสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุด
หากมีวาสนาพอจะได้พบสมณะหรือพราหมณ์ที่รู้หลักกรรมวิบากตามจริง แล้วมีจิตศรัทธา
ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในขอบเขตที่ถูกต้อง ไม่เอาตัวเข้าไปอยู่ในขอบเขตที่ผิดพลาด ย่อมเป็นผู้มีสติรู้เห็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งแจ่มชัดตามจริงไม่ผิดเพี้ยน
จิตที่ทรงสติเห็นตามจริงไม่ผิดเพี้ยน
เห็นชัดว่าเพราะมีเหตุดี ผลที่ดีจึงปรากฏ เพราะมีเหตุชั่ว ผลที่ชั่วจึงปรากฏ
ไม่มีการปรากฏใดๆเกิดขึ้นเองลอยๆโดยปราศจากเหตุ
หากมาถึงจุดนั้นได้ก็ย่อมเป็นบ่อเกิดของปัญญาและความฉลาดทั้งปวง
เพราะยิ่งเห็นตามจริงมาก ไม่หลงตามกิเลสมาก สติก็ยิ่งคมชัดมาก มีความเป็นกลางมาก
และเมื่อสติคมชัดมาก มีความเป็นกลางมาก
ความสามารถเชื่อมโยงองค์ความรู้ก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
นี่เป็นสิ่งที่เราสามารถเห็นผลได้ทันตาในชาติปัจจุบัน
ผลของการเป็นผู้รู้เรื่องกรรมตามจริง
จะทำให้การเกิดเป็นมนุษย์ในครั้งต่อไปเป็นผู้มี ‘สมองโต’
จะมองในแง่ขนาดหรือจำนวนหยักสมองมากก็ได้
หรือแม้ว่าจะไม่ได้มีหยักสมองเกินมนุษย์ปกติ
ก็จะไม่มีปัญหาทางสมองที่ขัดขวางสติปัญญาแต่อย่างใด
อย่างน้อยก็ฉลาดพอจะเรียนได้ทุกสาขาไม่ว่ายากเย็นเพียงใด
อีกทั้งจบมาต้องเป็นที่ต้องการตัวของบริษัทห้างร้านใหญ่ๆประจำยุคนั้นๆอย่างแน่นอน
ต่อไปนี้ขอแสดงทานและศีลในแง่ที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญา
๑)
ให้วิทยาทาน
เมื่อใครมีความรู้
มีความเชี่ยวชาญด้านใด ก็ควรแจกจ่ายความรู้ และแบ่งปันประสบการณ์ตามสมควร
หากใครให้แบบไม่หวงวิชา หรือที่เรียก ‘ไม่มีกำมือของอาจารย์’
ก็จะทำให้เป็นผู้ลงลึกในด้านนั้นๆไปเรื่อย
เมื่อเกิดใหม่ต้องแข่งความรู้ความสามารถกับใครก็มักหาคนมีบารมีเทียบเคียงได้ยาก
เนื่องจากวิบากของการให้ความรู้เป็นทานนั้น จะปรุงแต่งให้เกิดปัญญามาก
มีพลังในการเรียนรู้มากมายเหลือเฟือ
ทำนองเดียวกับให้ทรัพย์เป็นทานมากย่อมไปเกิดในบ้านคนมีเงินมาก
ได้คาบช้อนเงินช้อนทองออกมาจากท้องแม่นั่นเอง
ไม่ว่าจะให้เป็นอาชีพ
หรือให้ตามโอกาส ขอเพียงมีเจตนาอนุเคราะห์ หวังให้ศิษย์ได้ดี ได้มีความรู้ติดตัว
ก็จัดเป็นวิทยาทานทั้งสิ้น
ซึ่งจะให้ผลสะท้อนกลับมาเป็นปัญญาลุ่มลึกและกว้างขวางทันทีในชาติปัจจุบัน
เพราะถ้าสอนบ่อย หรือให้คำตอบบ่อย
ก็ย่อมเป็นเหตุให้เกิดการตอกย้ำเสาหลักแห่งความรู้ให้ลึกลงไป
และเพราะมีคำถามหลากๆมุมมอง
ก็ย่อมเป็นเหตุให้คิดอ่านและเห็นด้านต่างๆของปัญหาเดียวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
นิสัยในการให้ความรู้มีหลายแบบจาระไนไม่หมด
ในที่นี้ขอจำแนกไว้ง่ายๆเพื่อให้นึกออกว่ารูปแบบของวิทยาทานมีประมาณใด
-
ตอบอย่างเต็มใจเมื่อมีคนถาม: หากตอบให้กระจ่างเป็นที่เข้าใจได้
วิบากจะเป็นผู้มีปัญญาระดับแก้ข้อสงสัยให้ตนเองได้
เช่นเด็กที่เรียนสอบผ่านด้วยการอ่านหนังสือเอง
ไม่ต้องให้ใครช่วย
-
พยายามสอนแม้ไม่มีคนถาม: คือเห็นใครกำลังเก้ๆกังๆก็อาสาเข้าไปช่วยเอง
หรือเพื่อนๆขอให้ติววิชาก็ร่ายยาวแบบมีต้นมีปลายเรียบเรียงอย่างดี
หากสอนจนวิชาความรู้เข้าไปอยู่ในหัวคนอื่นได้ ช่วยให้เขาสอบผ่าน
หรือช่วยให้เขาประกอบวิชาชีพอย่างมีคุณภาพสูงขึ้น วิบากจะเป็นผู้มีปัญญาสว่างไสว
แบบที่มักเรียกกันว่า ‘ไบรท์’
เป็นพิเศษ ประเภทท็อปวิชาต่างๆ หรือได้ที่หนึ่งเป็นประจำ
-
ชอบสอนให้จำ: ถ้าบังคับให้นักเรียนท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง
วิบากจะเป็นผู้มีปัญญาแบบคิดอะไรชั้นเดียว จดจำแบบลอกตามคนอื่นอย่างเดียว
ไม่กล้าคิดเองเพราะกลัวผิด แต่หากสอนให้จำแบบมีอุบายวิธีดีๆ
วิบากจะเป็นผู้มีปัญญาแบบเรียนรู้ตามคนอื่นด้วยทางลัด
-
ชอบสอนให้คิด: คือนิยมให้องค์ความรู้ไปกว้างๆ
แล้วสอนให้เชื่อมโยง สอนด้วยเจตนาจะจุดประกายความคิดใหม่ๆให้นักเรียน
สอนให้คิดเองเป็น อย่างนี้วิบากจะเป็นผู้มีปัญญาแบบคิดอะไรได้ซับซ้อน
มีไอเดียริเริ่มใหม่ๆได้ด้วยตนเอง เวลามองโลก เวลาคิดเกี่ยวกับโลก
จะต่างจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ยังมีระดับความกว้างของการเผยแพร่ความรู้ เช่น
-
ระดับครอบครัว: เช่นพ่อแม่สอนลูกๆ
วิบากจะเป็นผู้ไม่ขาดแคลนผู้ให้ปัญญา ขอให้สังเกตเด็กบางคนที่น่าสงสาร
ถามใครไม่ค่อยมีคนว่างให้คำตอบ หรือได้คำตอบที่ไม่จุใจ ไม่อิ่มในความรู้
อันนี้ก็มีกรณีที่เคยเป็นพ่อแม่คนแล้วไม่ค่อยอบรมเลี้ยงดู
ไม่ค่อยเห็นความสำคัญในการให้คำตอบกับลูกๆ
-
ระดับโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย: คือครูบาอาจารย์นั่นเอง
ถ้าหากมีเจตนาดี มีความหวังว่าจะให้วิชาเต็มกำลัง
มีความกระตือรือร้นเสมอต้นเสมอปลาย สอนนักเรียนให้จบออกไปหลายต่อหลายรุ่น
วิบากจะเป็นผู้มีบุคลิกทรงภูมิแบบคงแก่เรียน
และหากในชาติที่เสวยวิบากนั้นไม่เป็นคนเหลวไหล ก็จะเป็นผู้มีปัญญาลึก
มีปัญญากว้างขวาง รับรู้ได้มากกว่าคนธรรมดา
คิดได้มากกว่าคนธรรมดา
-
ระดับประเทศ: อย่างเช่นวิทยากรรายการที่ให้ความรู้และมีคนติดตามดูด้วยความสนใจมากๆ
หากมีวิธีพูดให้คนส่วนใหญ่เข้าอกเข้าใจ
วิบากจะเป็นผู้มีสิทธิ์ชนะการแข่งขันระดับประเทศ
อย่างเช่นเด็กที่สอบเอนทรานซ์ได้ที่หนึ่ง มีชื่อเสียงเป็นเกียรติประวัติ
เป็นต้น
-
ระดับโลก: อย่างเช่นผู้ที่เขียนตำราเรียนซึ่งใช้กันหลายต่อหลายมหาวิทยาลัยของแทบทุกประเทศ
วิบากจะเป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับการบันทึกเป็นสถิติโลกบางอย่าง
เช่นถ้าในชาติที่เสวยวิบากนั้นอยากทำงานวิจัยซึ่งต้องอาศัยปัญญาอันล้ำลึก
ก็อาจมีคนเล็งเห็นประโยชน์และมอบรางวัลโนเบลให้
นอกจากนี้พวกนักวิทยาศาสตร์ที่เกิดมาอยากไขความลับของโลกและจักรวาลให้เป็นที่เปิดเผยกระจ่างแจ้งแก่ชาวโลก
ก็มักได้เกิดใหม่มีนิสัยเดิมๆ
อย่างเช่นนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบหลักความจริงอันยิ่งใหญ่
บางคนเกิดใหม่อีกทีพบความจริงยิ่งใหญ่กว่า
และอาจหักล้างการค้นพบของตนเองในชาติก่อนก็ได้
วิทยาทานที่ให้เดี๋ยวเดียวกับให้ตลอดชีวิตนั้นต่างกัน
ข้างต้นจะกล่าวเฉพาะวิทยาทานแบบที่ให้จนติดเป็นนิสัยไปตลอดชีวิต
และจะได้รับผลของวิทยาทานในกาลต่อๆไปเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามระดับของตน
๒)
ให้ธรรมเป็นทาน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
การให้ธรรมเป็นทานชนะทานทั้งปวง
ธรรมะในที่นี้หมายถึงเรื่องกรรมวิบากสำหรับคนธรรมดา
และหมายถึงเรื่องการปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานสำหรับภิกษุ
เมื่อศึกษาเรื่องกรรมวิบาก
ศึกษาเรื่องหนทางออกจากวังวนทุกข์จนเข้าใจแจ่มแจ้งถูกต้อง
แล้วนำความรู้ที่มีอยู่นั้นไปเผยแพร่ นำไปบอกต่อแก่คนที่ควรรู้
หรือนำไปเป็นคำตอบสำหรับคนที่สงสัยใคร่รู้
ใช้ความคิดทั้งหมดทุ่มเทลงไปไขความข้องใจแก่ผู้อื่น ก็นับเป็นธรรมทานอันยิ่งใหญ่
มีอานิสงส์ใหญ่หลวงเกินประมาณ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ทำอยู่เป็นปกติ
จะเห็นผลชัดภายในเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น
ก็ขนาดเข้าไปไต่ถามเรื่องบุญกรรมจากสมณะยังมีผลให้เป็นผู้มีปัญญามาก
แล้วถ้าเป็นผู้ให้ความรู้เรื่องบุญกรรมจากความเข้าใจที่ถ่องแท้ด้วยตนเองเล่า
จะยิ่งมีผลคูณทวีตัวกว่าเป็นผู้ถามสักเพียงไหน?
ในขั้นต้นที่ง่ายกว่านั้นอาจให้ธรรมทานในลักษณะของสิ่งของแก่ผู้ควรให้
อย่างเช่นถ้าใครตระเวนไปตามวัดต่างๆ
จะเห็นว่าภิกษุในปัจจุบันน้อยนักที่รู้ข้อตกลงกับพระพุทธเจ้าว่ามาบวชห่มผ้าเหลืองก็เพื่อ
‘ทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง’
ส่วนใหญ่เข้าใจเพียงว่าถ้าอายุครบก็ควรบวชตามประเพณี
หรือบวชเพื่อให้พ่อแม่ได้ชื่นใจ อาศัยเกาะผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์
พูดง่ายๆคือมีความเข้าใจว่าเพศพระหรือการบวชเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่วิเศษสูงส่ง
และสามารถแปลงคนธรรมดาให้กลายเป็นผู้วิเศษสูงส่งขึ้นมาทันตา ขอเพียงมีเงินค่าบวช
และมีความจำเพียงเล็กน้อย
ท่องบทสวดขอบวชต่อหน้าพระอุปัชฌาย์ได้ถูก
และแม้พระหลายต่อหลายรูปใคร่จะทำมรรคผลนิพพานให้แจ้งตามกติกาการบวช
ก็ติดปัญหาอีก คือไม่มีคนสอน หรือสอนไม่ถูกทาง หรือบางทีก็ขาดสิ่งแวดล้อมสนับสนุน
ไม่มีใครเป็นเพื่อนปฏิบัติ ไม่มีใครเป็นแรงบันดาลใจ
ไม่มีใครเป็นแม้กำลังใจให้ในขั้นเริ่มต้น
ฉะนั้นหากเราเอาหนังสือแม้เล่มเล็กๆที่เป็นกำลังใจให้ภิกษุรู้ทางดี ทางชอบ ทางตรง
หรือเหนี่ยวนำให้เกิดความปรารถนามรรคผลนิพพาน
ก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้ปัญญาอันประเสริฐ
หากนำไปถวายเป็นสังฆทานเรื่อยๆพร้อมกับปัจจัย ๔ อื่นๆดังแจกแจงแล้วในบทก่อน
ก็จะทำให้สังฆทานบริบูรณ์ถึงขีดสุด ช่วยส่งเสริมให้เป็นผู้มีปัญญาเอกอุได้
ทั้งที่อาจเห็นผลในชาติปัจจุบัน
และต้องรอดูผลยิ่งใหญ่ในชาติถัดๆไป
หากทราบว่าที่ใดมีการร่วมมือร่วมใจจัดสร้างพระไตรปิฎก
ถ้าเข้าไปร่วมบริจาคหรือให้ความช่วยเหลือในทางใดทางหนึ่งได้ก็จะเป็นเรื่องวิเศษ
เพราะการจัดสร้างพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะเป็นสื่อแบบหนังสือชุดรวม ๔๕
เล่มหรือว่าเป็นสื่อบันทึกข้อมูลคอมพิวเตอร์
ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการสืบทอดคำสอนล้ำค่าของพระพุทธเจ้าที่หาได้ยาก
เนื่องจากพุทธศาสนาจะตั้งอยู่ได้เป็นพันๆปี
ก็ต้องอาศัยบันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้านี้เท่านั้น
โดยเฉพาะถ้าตั้งจิตอนุเคราะห์แก่ปวงชนไว้
เช่นขอให้พระไตรปิฎกที่เราสร้างจงเป็นประโยชน์
จงก่อให้เกิดปัญญาสว่างไสวแก่ผู้คลำหาทางไปสู่สวรรค์นิพพานทั้งหลาย
เช่นนี้วิบากของผู้มีส่วนร่วมในธรรมทานย่อมไม่อาจประมาณ ทั้งแง่ของความกว้างขวาง
และแง่ของความยิ่งใหญ่แห่งคุณภาพบุญ
๓) รักษาศีลทุกข้อ
บางคนรู้สึกอยู่ลึกๆว่าตัวเองก็ฉลาดไม่แพ้ใครอื่น
แต่น่าเจ็บใจที่มีข้อติดขัดบางประการ หลายครั้งเมื่อจะต้องตัดสินใจดีๆดันไม่มีสมาธิ
หรือหลายครั้งเมื่อเผชิญกับสถานการณ์เข้าด้ายเข้าเข็มต้องอาศัยหูตากว้างขวางรู้เห็นชัดเจน
จู่ๆก็หนักหัวขึ้นมาเฉยๆ ความคิดความอ่านและหูตาพร่ามัวไปหมดโดยไม่ทราบสาเหตุ
และไม่ทราบจะแก้ไขอย่างไร
เพราะตรวจสุขภาพแล้วหมอก็บอกว่าปกติดี
ต่อให้เนื้อแท้ฉลาด
แต่ถ้าโดนบาปกรรมบางอย่างปิดบังเนื้อแท้นั้นไว้ หลายๆทีก็ดูเหมือนคนทึ่มๆ
เซ่อซ่าเด๋อด๋า หรือตัดสินใจในเรื่องสำคัญไม่ต่างจากคนเขลาอย่างที่สุดคนหนึ่งได้
ผู้ที่เคยผิดศีลอย่างหนักในอดีตชาติจะได้รับผลเป็นข้อๆประมาณนี้
-
เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไว้มาก
โดยเฉพาะพวกขุนศึกเก่งๆ วิบากคือทำให้รู้สึกหนักหัว มึนตลอด
บางทีคล้ายใครเอาหมอนมาโปะไว้บนกระหม่อมอุดทางออกของปัญญา ยิ่งถ้าเคยคิดประทุษร้าย
แบบแกล้งให้ใครสมองบอบช้ำ
ก็อาจต้องรับผลคือเป็นคนปัญญาอ่อนมาแต่กำเนิดเลยทีเดียว
-
เคยลักทรัพย์ทางปัญญาไว้มาก
ยกตัวอย่างที่จัดแจ้งสุดได้แก่พวกเผาโรงเรียน
หรือยักยอกหนังสือที่เขาบริจาคเพื่อให้เด็กยากไร้มีโอกาสเรียนกัน
วิบากคือทำให้ขาดที่ศึกษา ขาดเครื่องมือ
หรืออยู่ในถิ่นไกลปืนเที่ยงเสียจนไม่อาจหวังเอาวิชาความรู้ได้จากไหน
หรือถ้ามีโอกาสเรียนก็เจอความมืดทางปัญญา ชนิดเรียนอย่างไรก็ไม่รู้
พยายามดูอย่างไรก็ไม่เห็น ราวกับผีเอากำแพงมาบังกระดานดำหน้าชั้นเรียน
พูดง่ายๆว่าขณะเสวยวิบากนั้นยากจะเป็นคนมีความรู้แม้เพื่อเลี้ยงชีพตนเองให้อยู่รอดปลอดภัย
-
เคยลักลอบเป็นชู้ด้วยความหน้ามืดตามัว
หมกมุ่นและเมากามอย่างหนัก วิบากคือทำให้อ่อนแอ ไม่อยากเรียน ไม่อยากคิดมาก
ฝักใฝ่ถึงแต่นิมิตบนเตียง
มองครูหรือมองเพื่อนในห้องก็จะเอาแต่คิดอัปมงคลไปเสียหมด
-
เคยโกหกมดเท็จ
ปั้นน้ำเป็นตัวจนชิน วิบากคือทำให้มองไม่เห็นตามจริง
รับรู้อยู่ในปัจจุบันให้ตรงจริงได้ยาก ส่วนใหญ่พอได้ความรู้อะไรนิดหนึ่ง
จิตจะดีดไปทางอื่น ทะเล้นคิดแบบไร้สาระ ไม่ยอมรับสาระ เห็นจริงเป็นเท็จ
เห็นเท็จเป็นจริงอย่างง่ายดาย
แม้พยายามหันมาสนใจจดจ่อรับรู้อะไรให้ตรงจริงเป็นปัจจุบัน
แต่ละทีก็ยากเย็นสาหัส
-
เคยร่ำสุราจนได้ชื่อเป็นขี้เมา
วิบากคือจะเป็นผู้ฟุ้งซ่านจัด ห้ามยาก หยุดยาก
เรียกว่าบางทียิ่งเรียนเหมือนยิ่งใกล้บ้า ทั้งเบื่อ ทั้งหงุดหงิด
ทั้งล่องลอยเลื่อนเปื้อน คนมักเข้าใจว่าถ้าเมามายแล้วมีผลเสียเฉพาะกับสุขภาพ
แต่ความจริงคือเราขยำวิญญาณตัวเองให้ยับยู่ยี่ไปด้วย และมีผลข้ามภพข้ามชาติทีเดียว
เนื่องจากจิตวิญญาณขี้เมาจะมีคุณภาพต่ำ หาความสงบสุขไม่ค่อยได้
สติปัญญาย่อมไม่เกิดขณะทุกข์หนักด้วยความฟุ้งซ่านรำคาญใจ
กรรมที่เคยผิดศีลและให้วิบากเป็นม่านทึบบดบังแสงสว่างทางปัญญานั้น
พอจะแก้ได้ด้วยการกลับลำในศีลแต่ละข้อ เช่นถ้ามึนๆหนักๆหัว ขอให้ลองปล่อยนกปล่อยปลา
ปล่อยโคกระบือที่เห็นชัดว่ากำลังจะถูกฆ่า หัดแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งปวง
ขอภัยเวรจงเป็นอโหสิ ทำมากๆข้ามเดือนข้ามปีถ้าอะไรที่หนักๆในหัวหรือบนหัวก็เบาบางลง
ก็แปลว่าแก้ถูกทางแล้ว
นอกจากนั้นยังมีกรรมที่พึงระวังเกี่ยวกับเรื่องการดูถูก
หรือการปิดกั้นการศึกษา เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กรรมชนิดนี้คนฉลาดหลายๆคนชอบทำกัน
เห็นใครต่อใครโง่เง่าเต่าตุ่นไปหมด ถ้านึกอยู่ในใจเงียบๆคงไม่กระไรนัก
แต่ถ้าถึงขนาดพูดถากถางให้เขาอับอาย
น้อยเนื้อต่ำใจจนขาดความมานะพยายามที่จะเพียรศึกษาต่อ
อย่างนี้มีโทษหนัก
ตัวอย่างเช่นพระจูฬปันถก
ความจริงท่านเป็นคนมีบุญญาธิการ แต่เพราะในอดีตเคยก่ออกุศลกรรม คือชอบไปดูถูก
หัวเราะเยาะ บั่นทอนกำลังใจของคนที่เขามีสติปัญญาไม่ใคร่ดี
จนกระทั่งเขาอับอายถอยเท้าไปจากแวดวงการศึกษาธรรมะ
ส่งผลให้ท่านเกิดใหม่แล้วท่องจำหรือเรียนมนต์อะไรไม่ได้แม้แต่คาถาสักบทเดียว
เป็นต้น ต่อเมื่อพระพุทธเจ้าช่วยแนะอุบายช่วยแหวกม่านโมหะออก
ปัญญาที่แท้จริงของท่านจึงสว่างชำแรกออกมาได้
๔)
เจริญสติรู้ความเคลื่อนไหวทางกาย
ข้อนี้เป็นวิชาในพุทธศาสนาโดยเฉพาะ
ผลจะเกิดขึ้นในปัจจุบันชาติ ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า
แนวคิดหลักๆมีอยู่ว่าถ้ามีสติสัมปชัญญะ รู้เห็นอะไรตามจริงอยู่ทุกขณะ
ไม่ว่าจะใช้อะไรเป็นเป้าล่อ
ก็จะได้ผลเป็นความสามารถทางปัญญาอย่างเอกอุ
สิ่งที่จะใช้อาศัยเป็นเป้าล่อ
หรือเครื่องระลึกของใจนั้นก็ไม่ต้องไปหาอะไรอื่น คือกายทั่วทั้งหมดของเรานี้เอง
ทุกขณะจิตมีการเคลื่อนไหวหรือหยุดนิ่งทางกายให้อาศัยระลึกรู้ได้ตลอดเวลา
แต่เมื่อไม่ฝึกตามรู้ก็ไม่มีใครทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาเป็นรางวัล
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
เมื่อบุคคลเจริญธรรมข้อหนึ่งแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญแห่งปัญญา
ย่อมเป็นไปเพื่อความไพบูลย์แห่งปัญญา ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาใหญ่
ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญามาก ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาไพบูลย์
ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาลึกซึ้ง
ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาสามารถยิ่ง
ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญากว้างขวาง
ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มากด้วยปัญญา ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาว่องไว
ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเร็ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาร่าเริง
ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาแล่น ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาคม
ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาชำแรกกิเลส ธรรมข้อหนึ่งนั้นคืออะไร? คือ ‘กายคตาสติ’
ธรรมข้อนี้เมื่อบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
แม้ที่สุดย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาชำแรกกิเลส
โดยย่นย่อกายคตาสติคือหลักรู้อาการทั้งปวงของกาย
อะไรเกิดขึ้นเด่นๆให้รู้ให้หมด
นับตั้งแต่มีสติรู้ว่าขณะนี้กำลังหายใจออก ขณะนี้กำลังหายใจเข้า
ขณะนี้กำลังหายใจยาว ขณะนี้กำลังหายใจสั้น ไม่ต้องสำรวจให้ละเอียดอะไร
ทำได้ทุกเมื่อ ทุกสถานที่
เมื่อแรกอาจรู้ลมหายใจไม่ได้บ่อยนัก
แต่ถ้าเตือนตัวเองเสมอๆทุกครั้งที่ระลึกได้ ว่ากำลังหายใจออกหรือหายใจเข้า
เท่านี้ก็ได้ชื่อว่าเริ่มทำกายคตาสติ
ทุกครั้งที่ทราบลมหายใจชัด
เราจะสามารถรู้สึกเข้ามาถึงกายไปด้วย ว่ากำลังอยู่ในอิริยาบถใด
การทราบอิริยาบถอันเป็นปัจจุบัน เช่นหัวกำลังตั้งหรือเอียง กายกำลังขยับหรือหยุด
แขนตกหรือยกเกร็งที่หัวไหล่ ขากำลังก้าวสลับเดินหรือวางนิ่งบนพื้นเก้าอี้
ยืดแขนหรือหดแขน ฯลฯ
หากรู้ได้สบายๆแล้วก็ล้วนแต่ปรุงจิตให้เกิดสติสัมปชัญญะมากขึ้นเรื่อยๆทั้งสิ้น
ยิ่งเมื่อถึงจุดที่สติสัมปชัญญะเจริญถึงจุดที่สามารถเห็นถนัดว่ากายสงบ
ไม่กวัดแกว่ง มีความสุขทางกายให้รู้ได้ ตลอดจนเมื่อเกิดความอึดอัดทางกายก็รู้ทัน
เห็นว่าอาการทั้งปวงของกายแปรปรวนอยู่ตลอด
มีความสนุกกับการตามรู้ว่าอะไรๆทางกายล้วนไม่เที่ยง
ที่ตรงนั้นจิตเราจะมีความเป็นกลางขึ้นมา
รู้เห็นอะไรคมชัดขึ้นไม่ว่าจะภายนอกหรือภายใน
แม้อาการรู้สึกนึกคิดที่เกิดกับจิตก็พลอยเห็นไปหมด
โดยไม่ต้องฝืนพยายามจ้องดูแต่อย่างใด
ตรงนั้นเราจะทราบเองว่าแท้จริงแล้วเคล็ดลับของมหาปัญญาก็คือการมีมหาสตินั่นเอง
เรื่องง่ายๆที่ไม่มีใครสักกี่คนในโลกล่วงรู้
แม้วิชากายคตาสติจะสืบทอดกันมาเนิ่นนานหลายพันปีแล้วก็ตาม
กรรมที่ทำให้เป็นอัจฉริยะตั้งแต่เด็ก
ความฉลาดมิใช่คุณสมบัติจำกัดเพศ
และไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะสวยหรือหล่อปานไหน
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกรรมเก่าที่ทำมาในอดีตดังกล่าวแล้วในหัวข้อก่อน
บวกกับกรรมใหม่ซึ่งเริ่มต้นจุดชนวนจากแรงบันดาลใจรักใคร่ชื่นชอบในงานใดงานหนึ่ง
เมื่อชอบงานใดย่อมมีความพากเพียรในงานนั้นอย่างต่อเนื่อง
ใฝ่ใจจดจ่ออุทิศพลังกายพลังใจทั้งหมดให้
รวมทั้งหมั่นประเมินฝีมือเพื่อพัฒนาต่อยอดยิ่งๆขึ้นไป
ถ้าหากมีทั้ง
‘พรสวรรค์’ อันได้แก่กรรมเก่าส่งเสริม
บวกกับ ‘พรแสวง’
อันได้แก่กรรมใหม่ชักนำ คนๆหนึ่งอาจเก่งได้โดยไม่จำกัดหน้าตา อายุ
และเชื้อชาติ
ที่ยกตัวอย่างกันมากน่าจะได้แก่อัจฉริยะที่ผู้คนยังจดจำและกล่าวขวัญถึงอยู่เสมอ
แม้ว่าตัวเขาจะล่วงลับจากโลกนี้ไปกว่าสองศตวรรษแล้วก็ตาม คือโวล์ฟกัง อมาเดอุส
โมสาร์ท
กรรมเก่าที่เคยมีคุณูปการต่อแวดวงการดนตรีได้ส่งเขามาเกิดในบ้านที่จะได้รับแรงบันดาลใจอย่างสูง
ทั้งเห็นพ่อเล่นฮาร์พซิคอร์ด ทั้งเห็นพี่สาวเล่นคลาเวียร์ได้เก่ง
และทั้งมีความสามารถของตัวเขาเองที่จดจำเสียงดนตรีได้แม่นยำ เรียนรู้ได้เร็วเกินวัย
เมื่อมาประกอบกับกรรมใหม่ที่สมัครใจทุ่มเทเวลามาฝึกหัดจริงจัง กล้าหาญชาญชัย
ในที่สุดเขามีความสามารถเล่นดนตรีได้ตั้งแต่ ๔ ขวบ ประพันธ์เพลงได้เมื่อ ๕ ขวบ
และเล่นไวโอลินให้สมาชิกวงดนตรีประจำสำนักของอาร์ชบิชอพตะลึงฟังตาค้างได้ขณะที่อายุเพิ่ง
๖ ขวบเท่านั้น!
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ใจแคบ
ยึดถือความเชื่อผิดๆไว้อย่างเหนียวแน่น เช่นเห็นว่าถ้ามีรูปสมบัติคือหน้าตาดี
จะต้องแถมพกเอาคุณสมบัติคือสมองโง่คู่มาด้วยเสมอ
หรือไม่ก็มองว่าเพศชายต้องฉลาดกว่าเพศหญิง
ถ้าผู้หญิงคนไหนเก่งกว่าผู้ชายจะถูกมองเป็นตัวประหลาดไม่น่าคบทันที
ความจริงคืออัจฉริยะที่มีผลงานระดับโลกมากมายหน้าตาดีระดับพระเอกนางเอกหนัง
อย่างเช่นโมสาร์ทนั้นก็เป็นที่เลื่องลือในรูปโฉมคนหนึ่ง หรืออย่างอลิเซีย วิตต์
ซึ่งปัจจุบันเป็นนางเอกสาวรูปงามของฮอลลีวูดก็พูดคำแรกได้ขณะอายุ ๑ เดือน
อ่านหนังสือได้เมื่ออายุเพียง ๖ เดือน เขียนนวนิยายได้หลายเรื่องเมื่ออายุได้เพียง
๕ ขวบ
กับทั้งแข่งเปียโนชนะในหลายรายการแข่งขันจนได้รับการยกย่องให้เป็นเด็กอัจฉริยะทางดนตรีคนหนึ่ง
ความน่าทึ่งของเด็กอัจฉริยะทำให้หลายต่อหลายเรื่องยากจะเป็นที่ยอมรับ
หรือง่ายที่จะทำให้รู้สึกว่าเป็นข่าวโคมลอยมากกว่าเรื่องจริง
อีกทั้งยังปรากฏอย่างสม่ำเสมอในโลกนี้โดยไม่จำกัดอยู่ที่ยุคใดยุคหนึ่ง
บุคคลร่วมสมัยอย่างเช่น ไมเคิล เคียร์นีย์ มีไอคิวสูงเสียจนเข้าเรียนมัธยมปลายตอน ๕
ขวบ และเข้าเตรียมมหาวิทยาลัยเมื่ออายุเพียง ๖ ขวบเท่านั้น!
ในโลกที่คนไม่รู้เรื่องกรรมวิบากและภพชาติ
หลายฝ่ายถกเถียงกันมาตลอดว่าความเก่งกาจผิดมนุษย์มนาของเด็กอัจฉริยะมีเหตุมาแต่ไหน
ระหว่างพรสวรรค์ พรแสวง หรือสิ่งแวดล้อม
กรณีตัวอย่างของการไล่ล่าคว้าคำตอบซึ่งค่อนข้างโด่งดัง
ได้แก่การที่นักจิตวิทยาคนหนึ่งเอาตนเองและชีวิตลูกสาวสามคนเป็นเดิมพันการทดลอง
กล่าวคือเขาประกาศตั้งแต่ก่อนลูกสาวคนแรกเกิด ว่าเขาจะมีลูกเท่าไหร่
ทุกคนต้องยิ่งใหญ่ในโลกหมากรุก และเขาก็ทำได้จริงๆ
เริ่มจากการให้ลูกเรียนหนังสือที่บ้าน กระตุ้นให้เกิดความสนใจในเกมหมากรุก
ในที่สุดก็ได้ผลผลิตที่ระดับประวัติศาสตร์
นั่นคือนักหมากรุกทุกคนจะต้องรู้จักสามพี่น้องโพลการ์ โดยเฉพาะ จูดิท โพลการ์
ผู้เป็นน้องคนสุดท้องนั้น เล่นได้ถึงระดับแกรนด์มาสเตอร์
(คล้ายปริญญาดอกเตอร์ทางหมากรุก นักเล่นเก่งๆหลายคนพยายามจนอายุ ๖๐ ก็ไม่ได้เป็น)
ตั้งแต่อายุเพียง ๑๕ ปีกับ ๕ เดือน
ทำลายสถิติโลกเดิมที่ผู้ชายทำไว้ก่อนหน้าลงอย่างราบคาบ
การที่นักจิตวิทยาดังกล่าวเสนอทฤษฎีว่าเด็กอัจฉริยะไม่ได้เกิดขึ้นจากพรสวรรค์หรือความบังเอิญทางพันธุกรรมใดๆ
แต่เกิดขึ้นจากการให้สภาพแวดล้อมที่ดีในการกระตุ้นความสนใจ
รวมทั้งการฝึกฝนอย่างจริงจังภายใต้ความสมัครใจของเด็กเอง
นับเป็นเรื่องที่ควรพิจารณา เพราะเขากับภรรยาไม่ใช่อัจฉริยะ
และได้ประกาศเจตนารมณ์ในการสร้างเด็กอัจฉริยะก่อนเด็กเกิด
อีกทั้งค่าความบังเอิญก็ถูกตัดทิ้งไปด้วยความสำเร็จของลูกสาวถึง ๓ คน
(ทางวิทยาศาสตร์ถือว่า ๑ ใน ๓ ‘อาจ’ เป็นเรื่องบังเอิญ
แต่ ๓ ใน ๓ นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน)
พ่อแม่ยุคปัจจุบันมักเห่อเด็กอัจฉริยะ
และขวนขวายบำรุงลูกทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เป็นเด็กอัจฉริยะ
แต่ความจริงคือการเป็นเด็กอัจฉริยะมีความหมายกับตัวเด็กเองและหน้าตาของพ่อแม่เพียงเดี๋ยวเดียว
ผลงานถาวรที่แต่ละคนฝากไว้กับโลกต่างหากจะเป็นที่จดจำยั่งยืน
และเป็นบุญติดตัวไปถึงภพหน้า
เช่นที่มีผู้กล่าวไว้ว่าโมสาร์ทเป็นเด็กอัจฉริยะในช่วงต้นชีวิต
ขณะที่บีโธเฟ่นไม่ใช่ แต่ทั้งสองคนก็ฝากผลงานน่าชื่นชมไว้เสมอกัน
(ไอน์สไตน์ซึ่งนับถือสองผู้ยิ่งใหญ่เท่าเทียมกันเคยกล่าวคำเด็ดไว้ว่า
บีโธเฟ่นสร้างงานขึ้นเอง
ขณะที่โมสาร์ทเป็นผู้ค้นพบดนตรีอันบริสุทธิ์งดงามซึ่งเหมือนมีอยู่ก่อนแล้วในธรรมชาติ)
สรุปคือถ้าต้องการเกิดเป็นเด็กอัจฉริยะผู้น่าอัศจรรย์ของโลก
ก็ไม่ใช่แค่สร้างกรรมว่าด้วยการมีปัญญามาก แต่เราจะต้องสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
และเป็นผู้ใหญ่ที่มีความตั้งใจอุทิศชีวิตทั้งหมดของตนเป็นคุณูปการกว้างขวางแก่แวดวงสาขาอาชีพที่รัก
กระทั่งเชื้อความรัก ความสนใจ และอานิสงส์ที่ช่วยคนอื่นในสาขานั้นๆ
ติดตัวไปบันดาลสภาพแวดล้อมการเกิดใหม่ให้สอดคล้องกับบรรยากาศแบบเดิมๆอีก
เพราะหากขาดความรักเดียวใจเดียวในสาขาวิชาชีพหนึ่งๆแล้ว
จิตก็จะไม่ยึดภพแห่งความเป็นเช่นนั้นไว้เหนียวแน่นพอ
เกิดใหม่ก็ไม่มีอะไรกระตุ้นความสนใจได้แรงพอจะทุ่มเวลาช่วงเด็กให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเช่นกัน
ขอให้พิจารณาด้วย
ว่าใครๆไม่มีทางเป็นเด็กอัจฉริยะ หรือแม้กระทั่งเป็นเด็กฉลาดตามปกติขึ้นมาได้เลย
ถ้าเกิดในชาติที่ต้องเสวยผลกรรมชนิดปิดบังสติปัญญา
ดังได้แจกแจงไว้แล้วในหัวข้อก่อน
บทสำรวจตนเอง
ไม่ว่าใครจะพอใจในสติปัญญาของตนเองเพียงใด
ทุกคนต้องยอมรับเหมือนกันหมดว่าสติปัญญาเป็นอาวุธสำคัญสูงสุดในการรบกับความทุกข์และภาระหน้าที่การงาน
แต่กรรมของคนส่วนใหญ่
โดยเฉพาะที่ละเมิดศีลเป็นอาจิณ และที่ไม่สนใจว่าอะไรคือบาปบุญคุณโทษ
ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องบั่นทอนสติปัญญาทั้งในชาตินี้และชาติหน้าทั้งสิ้น
จึงสมควรสำรวจตนเองว่าเราทำทางอันเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงของสติปัญญา
๑)
เรามีความสนใจใคร่รู้ด้วยตนเองหรือไม่ ว่าทำอย่างไรเป็นประโยชน์ ทำอย่างไรเป็นโทษ
ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว?
๒)
เมื่อรู้หลักจากพระพุทธเจ้าว่าอะไรคือบุญ อะไรคือบาป รู้ว่าอะไรคือประโยชน์
อะไรคือโทษ
เรามีความขวนขวายเพื่อประโยชน์อันเป็นที่สุดตามที่สามารถทำได้หรือไม่?
๓)
เมื่อมีความรู้อะไรดีๆ เราเคยคิดแบ่งปันให้คนอื่นหรือไม่?
๔)
เราเป็นผู้ละเมิดศีล ๕ ข้อเป็นอาจิณหรือไม่?
๕)
เราเคยทดลองเจริญสติรู้ความเป็นไปทั้งปวงทางกายหรือไม่?
สรุป
การมีความฉลาดกับการมีปัญญารอบรู้ในเรื่องดีๆนั้นแตกต่างกัน
ความจริงคือคนฉลาดทำเรื่องเดือดร้อนให้ชาวโลกได้มากกว่าคนโง่เสียด้วยซ้ำ
การเป็นผู้มีปัญญาดี
การเป็นผู้มีปัญญาเห็นชอบ คือหัวหน้าของความเจริญทั้งปวง
คนมีปัญญาเห็นทางประพฤติตนอันชอบเท่านั้น
ที่นำความเจริญมาสู่ตนเองกับโลกรอบด้านโดยส่วนเดียว
การมีชีวิตอยู่ของเขาย่อมหมายถึงแสงสว่าง ไม่ใช่ความมืด
ถ้าให้เลือกได้
ระหว่างสวยหล่อกับฉลาดจะเลือกอะไร? คนส่วนใหญ่จะเลือกไม่ค่อยถูก
เพราะถ้าหน้าตาดีแต่ถูกหาว่าโง่ก็คงไม่มีใครรู้สึกดีนัก
ส่วนถ้าจะให้ฉลาดแล้วหน้าหักก็คงมีปมด้อยไปทั้งชีวิตเช่นกัน
ฉะนั้นเมื่อทราบทางไปสู่สภาพน่าพึงใจทั้งสองส่วน
ก็ควรเร่งสร้างเหตุสร้างปัจจัยเสียแต่บัดนี้ จะได้เป็นผู้มีความสุขที่สมบูรณ์แบบ
ไม่ใช่มีอย่างแต่ขาดอีกอย่างเหมือนหลายๆคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น