Translate

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ประวัติโดราเอม่อน


ประวัติโดราเอม่อน


โดราเอมอน หรือ โดเรมอน เป็นตัวละครจากการ์ตูนเรื่องโดราเอมอน เป็นหุ่นยนต์แมวจากโลกอนาคต ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 22เกิดวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2655 (ค.ศ. 2112)
ลักษณะตัวอ้วนกลมสีฟ้า (เมื่อแรกเกิดมามีสีเหลือง) ไม่มีใบหู เนื่องจากถูกหนูแทะ มีหน้าที่เป็นหุ่นยนต์พี่เลี้ยงซึ่งคนที่ซื้อโดราเอมอนมาคือเซวาชิเหลนชายของโนบิตะ
วันหนึ่งเซวาชิเกิดอยากรู้สาเหตุที่ฐานะทางบ้านยากจน จึงได้กลับไปในอดีตด้วยไทม์แมชชีน จึงได้รู้ว่าโนบิตะ (ผู้เป็นปู่ทวด) เป็นตัวต้นเหตุ เซวาชิจึงได้ตัดสินใจให้โดราเอมอนย้อนเวลา
ไปคอยช่วยเหลือดูแลเวลาโนบิตะโดนแกล้งโดยใช้ของวิเศษที่หยิบจากกระเป๋าสี่มิติ
ต้นกำเนิิดโดเรมอน
image: http://server.thaigoodview.com/files/u9245/doraemon_1_.jpg

โดราเอมอนถูกผลิตขึ้นในโรงงานสร้างหุ่นยนต์ที่เมืองโตเกียว เมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 2112 (พ.ศ. 2655) แต่ในระหว่างการผลิตเกิดข้อผิดพลาดขึ้น ทำให้โดราเอมอน
มีคุณสมบัติไม่เหมือนหุ่นยนต์แมวตัวอื่น ต้องเข้ารับการอบรมในห้องเรียนคลาสพิเศษของโรงเรียนหุ่นยนต์ (และได้พบกับเพื่อนๆ แก๊ง ขบวนการโดราเอมอน ที่นั่น)
จนกระทั่งวันหนึ่ง ในงาน "โรบ็อต ออดิชัน" ซึ่งเป็นงานที่จัดให้มีการแสดงความสามารถของหุ่นยนต์ที่ได้ผ่านการอบรมแล้ว ด้วยความซุกซนของเซวาชิในวัยเด็ก
เขาจึงได้กดปุ่มเลือกซื้อโดราเอมอนมาไว้ที่บ้าน ด้วยเหตุนี้ โดราเอมอนจึงได้มาอยู่อาศัยที่บ้านของเซวาชิ ในฐานะของหุ่นยนต์เลี้ยงเด็ก (จากตอนพิเศษ "กำเนิดโดราเอมอน ปี 2112")
แต่ในต้นฉบับดั้งเดิมนั้นจะแตกต่างกัน คือ โดราเอมอนได้ถูกนำไปขายทอดตลาด เพราะเป็นสินค้าไม่ได้คุณภาพ จากนั้นพ่อแม่ของเซวาชิจึงมาซื้อโดราเอมอนไปไว้ที่บ้าน

แต่เดิมนั้นตัวโดราเอมอนมีสีเหลือง และมีหู แต่แล้วในวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2122 ขณะที่โดราเอมอนหลับอยู่นั้น ใบหูก็โดนหนูแทะจนแหว่งไปทั้ง 2 ข้าง
และไม่สามารถซ่อมแซมให้เหมือนเดิมได้ หลังจากรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล หุ่นยนต์แมว "โนราเมียโกะ" แฟนสาวของโดราเอมอนก็มาเยี่ยม แต่พอทราบว่าโดราเอมอนไม่มีหู
เหลือแต่หัวกลม ๆ โนราเมียโกะถึงกับหัวเราะเป็นการใหญ่ ทำให้โดราเอมอนเสียใจเป็นอย่างมาก แต่ก็พยายามทำใจด้วยการดื่มยาเสริมกำลังใจ แต่ว่าโดราเอมอนหยิบผิดกินยาโศกเศร้าแทน
ทำให้โศกเศร้ากว่าเดิม และเริ่มร้องไห้ไม่หยุด จนสีลอกเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอย่าที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน หลังจากนั้นโดราเอมอนจึงเกลียด และกลัวหนูเป็นอย่างมาก และไม่ค่อยมีความมั่นใจ
ในตัวเองเกี่ยวกับเรื่องความรัก

นอกจากนั้น โดราเอมอนยังมีน้องสาวชื่อโดรามี ที่จริงก็แค่ใช้เศษเหล็กแบบเดียวกันในการผลิต แต่โดเรมีใช้น้ำมันรุ่นใหม่ ขณะที่ผลิตโดราเอมอนอยู่ได้ทำชิปหล่นหายไป 1 ส่วน
จึงทำให้หยิบของวิเศษผิดพลาดบ่อยๆ

ข้อมูลจำเพาะของโดราเอมอนimage: http://i265.photobucket.com/albums/ii227/zhant/Doraemon_hist.jpg


เป็นความตั้งใจของผู้วาดการ์ตูนที่ใช้ตัวเลข 3-9-12 กับตัวละครนี้ โดราเอมอนจึงมีอะไรหลายอย่างกี่ยวกับตัวเลขชุดนี้

มีน้ำหนัก 129.3 กิโลกรัม
ความสูง 129.3 เซนติเมตร (แต่เวลานั่ง จะเหลือ 100 เซนติเมตร)
กระโดดได้สูง 129.3 เซนติเมตร (เวลาเจอหนู)
มีพละกำลัง 129.3 แรงม้า
วัดรอบหัว รอบอก รอบเอวได้ 129.3 เซนติเมตร
วิ่งปกติในระยะ 50 เมตรใช้เวลา 15 วินาที แต่ถ้าเจอหนูจะวิ่งได้เร็วถึง 129.3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
วันที่ผลิตคือ ปีที่ 12 เดือน 9 วันที่ 3 (เรียงแบบปฎิทินญี่ปุ่น)


ส่วนประกอบในร่างกาย
image: http://board.postjung.com/data/592/592855-topic-ix-3.jpg


เนื่องจากเป็นหุ่นยนต์แมวที่ผลิตขึ้นในอนาคตคือคริสต์ศตวรรษที่ 22ตามจินตนการของผู้แต่งและวาดการ์ตูน โดราเอมอนจึงผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงมีความคุณสมบัติดังต่อไปนี้ตา = ตาแสงอินฟราเรด สามารถมองเห็นได้แม้แต่ในที่มืดจมูก = มีลักษณะเป็นลูกกลมๆ สีแดง เหมือนกับปลายหาง มีความไวในการรับรู้กลิ่นได้ไวกว่ามนุษย์ 20 เท่า แต่ปัจจุบันชำรุด จึงสามารถดมกลิ่นได้เท่าจมูกคนเท่านั้นหนวด = มี 6 เส้น เป็นหนวดเรดาร์ สามารถจับวัตถุระยะไกลได้ แต่อยู่ระหว่างรอซ่อมแซมร่างกาย = ผิวหนังเป็นโลหะผสมพิเศษต้านแรงดึงดูด ทำให้ฝุ่นละอองไม่สามารถจับเกาะได้ นอกจากนี้ยังมีความทนทานสูง แม้อยู่ในอวกาศหรือใต้ทะเลลึกก็ไม่เป็นปัญหา
(จากตอนพิเศษ "ตะลุยปราสาทใต้สมุทร") โดนของเหลวคล้ายกรดสาดใส่ก็ไม่ละลาย (จากตอนพิเศษ "ไซอิ๋ว") แต่ก็มีข้อเสียหลายอย่างเช่นกัน คือ แพ้อากาศร้อน
(จากตอนพิเศษ "ตะลุยปราสาทใต้สมุทร") และแพ้อากาศหนาว จนถึงขั้นเป็นหวัดได้ (จากตอน "นางฟ้านำทาง") หากโดนไฟฟ้าช็อตก็จะเสียหาย
(จากตอนพิเศษ "บุกอาณาจักรเมฆ" และ "ฝ่าแดนเขาวงกต")
มือ = รูปร่างกลมสีขาวไม่มีนิ้วมือ จึงไม่สามารถเล่นพันด้าย และเป่ายิ้งฉุบได้ แต่ก็สามารถดูดจับสิ่งของได้ทุกอย่าง จริงๆ แล้วโดราเอมอนถนัดทั้ง 2 มือ แต่ส่วนใหญ่มักจะใช้แต่มือขวา
ไม่ค่อยใช้มือซ้ายเท่าไหร่นัก
ปาก = ปากขนาดกว้าง สามารถรับประทานได้ทุกอย่าง โดยจะเปลี่ยนเป็นพลังงานปรมาณู ภายในปากจะมีฟันที่เรียกว่า "ฟู้ดคัตเตอร์" ซึ่งจะปรากฏให้เห็นเฉพาะเวลาที่โดราเอมอน
โกรธจนต้องยิงฟันเท่านั้น แต่ในตอนพิเศษ "ไดโนเสาร์ของโนบิตะ 2006" โดราเอมอนกลับถูกวาดให้มองเห็นซี่ฟันอย่างชัดเจน
กระพรวน = ไว้ห้อยคอ มีสีเหลือง ส่วนสายคาดมีสีแดง เมื่อสั่นกระพรวนจะสามารถเรียกแมวที่อยู่ใกล้เคียงมาชุมนุมกันได้ โดยจะปล่อยคลื่นเสียงพิเศษ แต่น่าเสียดายตอนนี้ใช้งานไม่ได้กระเป๋าหน้าท้อง = กระเป๋าสี่มิติ ไว้สำหรับเก็บของวิเศษ พื้นที่เก็บของไม่มีจำกัด สามารถถอดไปทำความสะอาดได้ โดยระหว่างนั้นจะนำกระเป๋าสี่มิติใบสำรอง หรือที่มักเรียกว่า
"กระเป๋าสำรอง" มาใช้แทน ซึ่งกระเป๋าทั้งสอง จะมีมิติที่เชื่อมต่อกันของที่เอาใส่ในกระเป๋าใบหนึ่ง จะสามารถนำออกมาจากกระเป๋าอีกใบหนึ่งได้
เท้า = ลักษณะแบนเรียบ สีขาว มีพลังต้านแรงดึงดูด ส่งผลให้เท้าอยู่ลอยจากพื้น 3 มิลลิเมตร เลยไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้าเพราะไม่มีฝุ่นผงติดเท้า เดิมทีเท้าของโดราเอมอน
จะเป็นแบบที่สามารถเดินได้โดยไม่มีเสียงเหมือนกับแมวย่อง แต่ปัจจุบันชำรุดไปแล้ว ทำให้เวลาเดินจึงมีเสียงจากแรงเสียดสีกับอากาศ
สำหรับเวลาขี่จักรยานต้องใช้ปากจับแฮนด์ และใช้มือถีบที่ปั่นจักรยานแทน เนื่องจากขาหยั่งไม่ถึง (จากตอน "จิโซ เทพเด็กทิ่มสวรรค์")
หาง = เป็นสวิตช์ปิด-เปิด ถ้าถูกดึง ทุกอย่างจะหยุดทำงาน โดราเอมอนสามารถดึงหางเพื่อปิดสวิตช์ตัวเอง แต่ไม่สามารถดึงเพื่อเปิดเองได้
สิ่งที่ชอบ-เกลียด
image: http://board.postjung.com/data/592/592855-topic-ix-4.jpg

สิ่งที่ชอบที่สุดคือขนมหวานญี่ปุ่นที่เรียกว่า โดรายากิ (แป้งทอด) โดยสามารถกินโดรายากิขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (ขนาดใหญ่เท่าห้องของโนบิตะ) ได้คนเดียวหมด
และเคยชนะเลิศการแข่งขันกินโดรายากิเร็วมาแล้ว สาเหตุที่ชอบกินโดรายากินั้น เป็นเพราะสมัยอยู่ในศตวรรษที่ 22 โดราเอมอนเคยได้รับโดรายากิจากแมวสาว
"โนราเมียโกะ" มันจึงกลายเป็นของโปรดของเขามาตั้งแต่บัดนั้น เขาสามารถทำได้ทุกอย่างโดยไม่เลือกวิธีการเพื่อให้ได้โดรายากิมา หากได้ยินว่ามีร้านค้าร้านไหนที่ขายโดรายากิ
ลดราคาก็จะรีบบึ่งไปซื้อมาในทันที ซึ่งจากความชอบจนกลายเป็นของโปรดนี้เอง จึงทำให้โดราเอมอนให้ความสำคัญกับเรื่องรสชาติความหวานของโดรายากิเป็นอย่างมาก
เขามักจะมีเรื่องถกเถียงกับเจ้าของร้านขายขนมบ่อยครั้ง ในเวลาที่ทางร้านทำโดรายากิออกมาหวานเกินไป

นอกจากโดรายากิแล้ว อาหารอย่างอื่นที่โดราเอมอนชอบก็คือ ขนมโมจิ ซึ่งเคยได้กินในตอนแรกสุด ที่เพิ่งเดินทางมาหาโนบิตะด้วยไทม์แมชชีน โดยเมื่อโดราเอมอนได้กิน
ก็บอกว่า อร่อยมาก ขนาดกินจนหมดแล้วยังถึงกับเลียจานเลยทีเดียว

ส่วนสิ่งที่โดราเอมอนเกลียดและกลัวที่สุดคือ หนูเพราะเคยโดนหนูกัดหูจนหูแหว่งไปทั้ง 2 ข้างตอนหลับ นอกจากนั้นยังกลัว แฮมสเตอร์ ด้วย (จากตอนพิเศษ "กำเนิดประเทศญี่ปุ่น")
เพราะโดราเอมอนถือว่าเป็นสัตว์ในตระกูลเดียวกับหนู
ประวัติของโดราเอม่อน ตั้งแต่จุดกำเนิด
(และลักษณะพิเศษที่เพื่อนๆ หลายคนอาจจะยังไม่ทราบ
เราจะได้ทราบกันจริงๆ ก็ตอนนี้แหล่ะค่ะ ไปดูกันเล้ย...)
Doraemon : โดราเอม่อน

วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2512 เป็นวันที่เริ่มต้นพิมพ์หนังสือการ์ตูนเรื่อง "Doraemon" ในประเทศญี่ปุ่น โดยจินตนาการของนักเขียนชาวญี่ปุ่นสองคน ที่ใช้นามปากการ่วมกันว่า
ฟูจิโกะ ฟุจิโอะ โดยตัวการ์ตูนจะเป็นเรื่องราวของหุ่นยนต์ในโลกอนาคต ศตวรรษที่ 22 ซึ่งจินตนาการให้เป็นแมวตัวกลมๆ มีความสามารถพิเศษ และกระเป๋าวิเศษที่บรรจุของมากมาย
จุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือเด็กผู้ชาย ที่ขี้แย ไม่เอาไหน คนนึง และสอดแทรกคติธรรมเข้าไป ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก

ชื่อโดราเอมอน มาจากคำว่า...โดราเนโกะ แปลว่า แมวหลงทาง เอมอน เป็นคำเรียกต่อท้ายชื่อของเด็กชายในสมัยก่อน โดราเอมอน เกิดขึ้นโดยความบังเอิญในขณะที่ 2 นักเขียนการ์ตูน
ชื่อฮิโรชิ ฟูจิโมโต และโมโตโอะ อาบิโกะขณะที่กำลังจินตนาการ สร้างการ์ตูนตัวใหม่ด้วยความลำบาก และกดดัน เนื่องจากเหลือเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงจะถึงกำหนดส่งต้นฉบับ
บังเอิญเหลือบเห็นตุ๊กตาของลูกสาว ทำให้นึกต่อไปถึงตุ๊กตา แมว ล้มลุก และกลายเป็นโดราเอมอนในที่สุด

การ์ตูนเรื่องโดราเอม่อน มีจุดเด่นในเรื่องของจินตนาการ สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ในโลกอนาคต ที่ผู้อ่านทั่วไปคาดไม่ถึง จากปลายปากกาของ อ. ทั้งสอง ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
พร้อมทั้งสอดแทรกศิลปะวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเข้าไปในตัวการ์ตูน แบ่งลักษณะนิสัยของคนออกมาในแต่คาแร็คเตอร์ได้อย่างลงตัว เหมือนกับนำเอาชีวิตจริงของผู้อ่านเข้าไปเกี่ยวข้องกับการ์ตูนด้วย
ดังนั้นการ์ตูนเรื่องนี้จึงเป็นที่นิยม อ่านได้ทุกเพศทุกวัย จนทำให้มีการพิมพ์การ์ตูนเรื่องนี้มากมาย สามารถขายได้ถึง 100 ล้านเล่มใน ญี่ปุ่น และแปลเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก ถึง 9 ภาษา
รวมทั้งภาษาไทยอีกด้วย นอกจากการ์ตูนแล้ว โดราเอม่อน ถูกสร้างออกมาเป็นภาพยนต์ทางจอเงิน และจอแก้วมากมายหลายตอน โดยฉายครั้งแรกที่ฮ่องกง เมื่อปี พ.ศ. 2524
และฉายที่ประเทศไทยเราครั้งแรก วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2525

ของวิเศษที่โดราเอม่อนใช้บ่อยๆ

คอปเตอร์ไม้ไผ่ :
คอปเตอร์ไม้ไผ่ ทำจากไม้ไผ่ ชื่อภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า "Take (ไม้ไผ่) Koputa (คอปเตอร์)" เมื่อจะใช้ก็นำไปวางไว้บนหัวจะทำให้สามารถบินได้ เป็นเครื่องมือที่โนบิตะและโดราเอม่อน
ใช้เกือบทุกตอนเพราะใช้งานง่ายและไม่ค่อยมีอันตราย สามารถบินได้ในระยะทาง 600 กม. และความเร็วประมาณ 80 กม.ต่อ ชม. เช่นสามารถใช้บินจากโตเกียวถึงโอซาก้าในเวลาประมาณครึ่ง ชม.
ประตูสารพัดสถานที่ :

หากเปิดประตูนี้ออกแล้วพูดชื่อว่าจะไปที่ไหนประตูก็จะเปิดออกไปยังสถานที่นั่นทันที ประตูเป็นประตูไม้ในแบบโบราณ เป็นเครื่องมือที่สะดวกสบายที่สุด ของวิเศษชิ้นนี้ถูกใช้บ่อยๆ
ทำให้เราได้เห็นสถานที่ต่างๆ ในการ์ตูนได้มากมายหลายที่ ตามจินตนาการ
ไฟฉายย่อส่วน :
รูปร่าง และวิธีใช้คล้าย ๆ กับไฟฉายทั่ว ๆ ไป ใช้สำหรับย่อสิ่งของหรือขยายสิ่งของให้ใหญ่หรือเล็กก็ได้ มีประโยชน์มาก และโดราเอม่อนก็นำมาใช้บ่อยๆ อีกด้วยไทม์แมชชีน :

เครื่องไทม์แม็คชีนเป็นพาหนะที่สามารถใช้เดินทางย้อนเวลาไปอดีต หรือ เดินทางข้ามเวลาไปสู่อนาคตได้ โดยทางเข้าและทางออกจะอยู่ในลิ้นชักโต๊ะในห้องนอนของโนบิตะ
โดราเอม่อนและเพื่อนๆ สามารถใช้เดินทางไปอนาคตได้ แต่ว่าเครื่องนี้ก็ไปส่งผิดที่ผิดเวลาบ่อยๆ

Read more at http://unigang.com/Article/6834#XXQeJJeJVQChceBV.99


วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

กำเนิดแบบอักษรไทย

กำเนิดแบบอักษรไทย 
          ท่านผู้รู้นักประวัติศาสตร์หลายท่าน คาดกันว่า เริ่มจากแบบอักษรคฤนถ์ของอินเดียใต้ ได้ถูกนำมาดัดแปลงเป็นอักษรขอม อักษรขอมนี้นำมาเขียนภาษาบาลี สันสกฤตได้สะดวก แต่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเห็นว่าการนำมาเขียนเป็นภาษาไทยนั้นไม่สะดวก เพราะไม่มีวรรณยุกต์เป็นเครื่องหมายกำหนดเสียงสูงต่ำและมีสระน้อย ไม่เพียงพอจะเขียนภาษาไทยได้ตามต้องการ  พระองค์จึงทรงมีพระราชดำริแก้ไขแบบอักษรเสียใหม่ให้เป็นลักษณะอักษรไทย (ซึ่งถ้าสังเกตถ้อยคำในศิลาจารึก จะเห็นคำว่า"นี้" อยู่ต่อคำว่า "ลายสือ" ทุกแห่ง คงจะมีความหมายว่าตัวอักษรแบบนี้ยังไม่เคยมี)   พระองค์ทรงแก้รูปตัวอักษรให้เขียนได้รวดเร็วกว่าอักษรขอม ทั้งสระและพยัญชนะก็จะเขียนอยู่ในบรรทัดเดียวกัน  
          แม้ว่าพ่อขุนรามคำแหงมหาราชจะมิได้เป็นผู้ทรงประดิษฐ์รูปอักษรขึ้นโดยพระองค์เองก็ตาม (๑)  การที่พระองค์ทรงแก้ไขตัวอักษรเสียใหม่ในสมัยกรุงสุโขทัยนั้น นับเป็นการสำคัญ เป็นการพัฒนาต่อยอดทางความคิด คือ การนำภูมิความรู้ทั้งหลายที่มีอยู่เดิมในขณะนั้นมาพัฒนาให้เกิดความเหมาะสม ให้มีความสะดวกในการจารึกและอ่าน อีกทั้งเสียงที่ใช้นั้นก็มีความครบถ้วนตามลักษณะเสียงที่ใช้ในภาษาไทย  สิ่งนี้นับเป็นคุณประโยชน์อย่างมหาศาล เป็นวิวัฒนาการ อันทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทางความรู้และวิทยาการในสมัยนั้นเป็นอย่างยิ่ง     แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยะภาพในเชิงภาษาศาสตร์และความเป็นนักปราชญ์ของพระองค์    
          ครั้นล่วงรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว จะเป็นระยะเวลานานเท่าใดไม่ปรากฏแน่ชัด มีผู้แก้ไขกลับไปใช้คุณลักษณะบางอย่างตามแบบหนังสือขอม ซึ่งมีสระอยู่ข้างหน้าพยัญชนะบ้าง อยู่ข้างหลังพยัญชนะบ้าง อย่างเช่นใช้ในแบบหนังสือไทยมาจนทุกวันนี้
          ตัวอักษรไทยที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงคิดค้นขึ้นนี้ ได้มีผู้นำไปใช้กันแพร่หลายต่อไปในประเทศใกล้เคียงในสมัยนั้น  เช่น ในล้านช้าง ล้านนา และประเทศข้างฝ่ายใต้ของอาณาจักรสุโขทัย คือ กรุงศรีอยุธยา  
ลักษณะของตัวอักษรไทย 

สระ ๒๐ ตัว
วรรณยุกต์ ๒ รูป  ตัวเลข ๖ ตัว

พยัญชนะ ๓๙ ตัว
          ท่านผู้รู้บางท่านได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการประดิษฐ์ตัวอักษรไทยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชอีกนัยหนึ่งว่า จากการดูที่เหตุผลแวดล้อม พยัญชนะไทยน่าจะมีครบทั้ง ๔๔ ตัวตั้งแต่ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว  ทางขอมได้ภาษาบาลี-สันสกฤตเป็นครู มีพยัญชนะจำนวน ๓๓ ตัวเท่ากับภาษาบาลี  พ่อขุนรามคำแหงได้แบบอย่างจากขอมและอินเดีย ครั้งแรกนั้นคงเป็นพยัญชนะ ๓๔ ตัว (ตัดนิคหิต ออก ๑ ตัว แต่พระองค์ได้นำมาใช้แทนตัว ม อย่างสันสกฤตและขอม) ต่อมาพระองค์อาจจะทรงคิดค้นเพิ่มเติมอีก ๑๐ ตัว ที่เรียกว่า "พยัญชนะเติม" เพื่อให้เสียงพอใช้ในภาษาไทย 
          พยัญชนะเติม ๑๐ ตัวคือ ฃ ฅ ซ ฎ ด บ ฝ ฟ อ ฮ     จะเห็นว่าพยัญชนะเหล่านี้ได้เพิ่มเข้ามาจากพยัญชนะวรรคมีเสียงที่พ้องกัน เช่น 
                    ฃ พ้องเสียงกับ ข  
                    ฅ พ้องเสียงกับ ค 
          ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชนั้น ตัวอักษรนี้คงออกเสียงเป็นคนละหน่วยเสียงกัน  แต่ ฃ กับ ฅ คงจะออกเสียงได้ยากกว่า เราจึงรักษาเอาไว้ไม่ได้ มีอันต้องสูญไปอย่างน่าเสียดาย (๒)  เหตุผลคือ ถ้าเป็นหน่วยเสียงเดียวกัน พระองค์จะไม่ทรงคิดเสียงซ้ำกัน  เช่นนั้น ฃ กับ ข และ ฅ กับ ค จึงน่าจะเป็นคนละหน่วยเสียงกันเช่นเดียวกับภาษาบาลี สันสกฤต ที่ออกเสียงพยัญชนะวรรคตะ ต่างกับเสียงพยัญชนะวรรคฏะ  แต่เมื่อเรารับเข้ามาใช้ เราออกเสียงอย่างเขาไม่ได้ เราจึงออกเสียงเหมือนกัน เช่นเดียวกับ ตัว ส,ษ,ศ ก็เช่นเดียวกัน เขาออกเสียงต่างกันแต่เราออกเสียงเหมือนกันหมด  เสียงใดที่ออกยากย่อมสูญได้ง่าย   
สิ่งที่น่าเป็นห่วง
          ตามคำกล่าวข้างต้น เสียงที่น่าเป็นห่วงในปัจจุบัน เช่น
  • เสียง "ร" เพราะออกเสียงได้ยากกว่าเสียง "ล" นักเรียนในปัจจุบันมักจะออกเสียง "ร" ไม่ค่อยได้เพราะต้องกระดกลิ้น  
  • เสียง "ท" ที่ปัจจุบันมีผู้นิยมออกเป็นเสียง "ธ" ตามอย่างนักร้องที่มักออกเสียง "ท" เป็นเสียง "ธ" 
          ปัจจุบันนี้ เราหาผู้เชี่ยวชาญในการออกเสียงให้มีความชัดเจนแตกต่างจากกัน เพื่อเป็นผู้สอนการออกเสียงให้แก่นักเรียนนักศึกษาได้ยาก  จึงเป็นที่น่าห่วงว่าหากเราไม่ช่วยกันอนุรักษ์การออกเสียงเหล่านี้เอาไว้ สักวันหนึ่งเสียงต่างๆ เหล่านี้อาจจะสูญไปได้เช่นเดียวกัน
  Thailand Web Stat
ธนกร ช่อไม้ทอง : เรียบเรียง (๑) หนังสือพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช และรวมเรื่องเมืองสุโขทัย กรมศิลปากร
(๒) เลิกใช้เมื่อปีพระพุทธศักราช ๒๔๗๐ ต่อมาเกิดพจนานุกรมฉบับ ปีพระพุทธศักราช ๑๓๙๓ จึงได้ประกาศเลิกใช้อย่างเป็นทางการ  

ขอขอบคุณ www.lib.ru.ac.th/pk/thaifont2.html

บันทึกแฟ้มงานลงซีดี

บันทึกแฟ้มงานลงซีดี

ใช้ได้กับ
Microsoft Office System
มือที่กำลังถือซีดีดิสก์
ในขณะที่คอมพิวเตอร์จำนวนมากขึ้น ๆ เริ่มสร้างมาตรฐานของไดรฟ์ซีดีรอม การเขียนข้อมูลลงซีดีจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผล และมาแทนที่ฟล็อปปี้ดิสก์ในฐานะสื่อที่เคลื่อนย้ายได้ ซึ่งใช้เพื่อทำสำรองข้อมูลและใช้ไฟล์ร่วมกับผู้อื่น ตัวอย่างเช่น คุณอาจจะต้องการเขียนข้อมูลลงซีดีเพื่อเก็บรักษารูปภาพดิจิตัลที่คุณถ่ายไว้เมื่อครั้งไปพักร้อน แทนที่จะต้องเปลืองเนื้อที่ฮาร์ดไดรฟ์อันมีค่า หรือคุณอาจจะต้องการเก็บรักษาระเบียนข้อมูลทรัพย์สินในบ้านในรูปดิจิตัลลงซีดีเอาไว้ และจัดเก็บซีดีนั้นไว้ในกล่องนิรภัย เหตุผลของการจัดเก็บข้อมูลลงซีดีนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน
สิ่งสำคัญ  Microsoft Windows 2000 ไม่มีความสามารถในการเขียนข้อมูลลงซีดีที่ติดมากับเครื่อง ขั้นตอนนี้จะใช้ได้เฉพาะกับ Microsoft Windows® XP เท่านั้นซึ่งให้ความสามารถขั้นพื้นฐานในการเขียนข้อมูลลงซีดี สำหรับฟังก์ชันการทำงานเพิ่มเติมอื่น ๆ คุณสามารถใช้โปรแกรมการเขียนข้อมูลลงซีดีซึ่งผู้ขายซอฟต์แวร์อิสระจัดหาให้ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เหล่านี้ โปรดแวะเยี่ยมชม Windows XP Catalog คลิกแถบ Software แล้วชี้ไปยัง Utilities และคลิก CD-ROM

คัดลอกแฟ้มและโฟลเดอร์ลงซีดี

  1. ใส่ซีดีเปล่าที่เขียนข้อมูลลงได้ คุณอาจเลือกใช้:
    • คอมแพ็คดิสก์ที่บันทึกได้ (CD-R)
    • หรือ คอมแพ็คดิสก์ที่เขียนทับได้ (CD-RW)
    หากเป็นซีดีที่เขียนทับได้ คุณสามารถคัดลอกข้อมูลลงซีดีและลบข้อมูลจากซีดีได้หลาย ๆ ครั้ง
  2. คลิก Start และคลิก My Computer
  3. คลิกแฟ้มหรือโฟลเดอร์ต่าง ๆ ซึ่งคุณต้องการจะคัดลงลงซีดี
    • หากต้องการเลือกแฟ้มมากกว่าหนึ่งแฟ้ม ให้กดแป้น CTRL ค้างไว้พร้อมกับคลิกแฟ้มที่คุณต้องการ จากนั้น ที่ด้านล่าง งานแฟ้มและโฟลเดอร์ คลิก คัดลอกแฟ้มนี้ คัดลอกโฟลเดอร์นี้ หรือ คัดลอกรายการที่เลือก
    • ถ้าแฟ้มต่าง ๆ ตั้งอยู่ใน รูปภาพของฉัน ที่ด้านล่าง งานรูปภาพ ให้คลิก คัดลอกลงซีดี หรือ คัดลอกทุกรายการลงซีดี จากนั้นไปที่ขั้นที่ 5
  4. ในกล่องโต้ตอบ คัดลอกรายการ ให้คลิกไดรฟ์ที่ทำการบันทึกซีดี จากนั้นคลิก คัดลอก
  5. ใน คอมพิวเตอร์ของฉัน ดับเบิ้ลคลิกไดรฟ์ที่บันทึกซีดี Windows จะแสดงพื้นที่ชั่วคราวซึ่งจะเป็นที่จัดเก็บแฟ้มก่อนที่ถูกคัดลอกลงซีดี ตรวจสอบว่าแฟ้มและโฟลเดอร์ที่คุณต้องการจะคัดลอกลงซีดีปรากฏขึ้นที่ด้านล่าง แฟ้มที่พร้อมจะถูกเขียนลงซีดี
  6. ที่ด้านล่าง งานเขียนซีดี ให้คลิก เขียนแฟ้มเหล่านี้ลงซีดี Windows จะแสดงผู้ช่วยการเขียนซีดี ให้ทำตามคำแนะนำของผู้ช่วย
หมายเหตุ
  • อย่าพยายามคัดลอกแฟ้มลงซีดีมากกว่าที่ซีดีจะรับไหว ให้ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ของซีดีเพื่อดูความจุของซีดีแต่ละแผ่น สำหรับแฟ้มที่ใหญ่เกินซีดีหนึ่งแผ่น คุณสามารถคัดลอกแฟ้มต่าง ๆ ลงดีวีดีที่บันทึกได้ (DVD-R หรือ DVD+R) หรือ DVD ที่เขียนทับได้ (DVD-RW หรือ DVD+RW) อย่างไรก็ตาม Windows XP ไม่รองรับการคัดลอกลงดีวีดี ดังนั้นคุณต้องมีซอฟต์แวร์ DVD authoring
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าฮาร์ดิกส์ของคุณมีเนื้อที่มากพอที่จะจัดเก็บแฟ้มชั่วคราวซึ่งถูกสร้างขึ้นในระหว่างขั้นตอนการเขียนซีดี หากเป็นซีดีมาตรฐาน Windows จะสงวนเนื้อที่ไว้ 700 เมกะไบต์ (MB) ไว้เป็นพื้นที่ว่าง สำหรับซีดีความจุสูง Windows จะสงวนเนื้อที่ไว้ 1 กิกะไบต์ (GB)
  • หลังจากคุณคัดลอกแฟ้มหรือโฟลเดอร์ลงซีดีแล้ว คุณสามารถเรียกดูซีดีเพื่อยืนยันว่าแฟ้มเหล่านั้นได้ถูกคัดลอกเรียบร้อยแล้ว

การพิมพ์เอกสารออกทางเครื่องพิมพ์

โปรแกรมประมวลผลคำ 1 => เนื้อหารายสัปดาห์ / ใบงาน / คำถามประจำสัปดาห์ / อาจารย์ผู้สอน

สัปดาห์ที่ : 11
เรื่อง : การพิมพ์เอกสารอออกทางเครื่องพิมพ์

รู้จักกับ Printer
          ก่อนอื่นควรทราบก่อนว่าพรินเตอร์ (Printer) ที่เราใช้มีคุณสมบัติเป็นอย่างไรบ้าง เช่น สามารถพิมพ์เอกสารได้กี่ขนาด มีความละเอียดสูงสุดเป็นเท่าใด ความเร็วของเครื่องพิมพ์เป็นอย่างไร มีวิธีใส่กระดาษแบบใดได้บ้าง ใส่ซองจดหมายได้หรือไม่ ฯลฯ การทราบคุณสมบัติของพรินเตอร์อย่างคร่าวๆ จะทำให้ลดปัญหาจากการพิมพ์ได้มาก
          พรินเตอร์ (Printer) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้แสดงผลข้อมูลในรูปของกระดาษ ซึ่งพอสรุปเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ ดังนี้
  1. เครื่องพิมพ์แบบดอทแมททริกซ์ (Dot Matrix) เป็นแบบเคลื่อนที่ในแนวราบ ใช้ได้กับงานเอกสารกราฟฟิก ตัวอักษรหรือรูปภาพจะสวยงามขึ้นอยู่กับหัวพิมพ์ มีแบบ 9 เข็มและ 24 เข็ม
  2. เครื่อพิมพ์แบบเลเซอร์ (Laser Printer) ใช้ลำแสงเลเซอร์ในการพิมพ์ มีความคมชัดและมีความเร็วสูง
  3. เครื่องพิมพ์แบบฉีดหมึก (Ink Jet) ใช้วิธีการพ่นหมึกให้เป็นจุดเล็กๆ อย่างรวดเร็วด้วยกระแสไฟฟ้า ให้ความคมชัดและสวยงาม
ตรวจสอบเอกสารก่อนการพิมพ์ด้วย Print Preview
          ก่อนการพิมพ์เอกสารทุกครั้งควรตรวจดูเอกสารก่อนว่ามีความถูกต้องสวยงามหรือไม่ การตรวจสอบเอกสารก่อนพิมพ์เป็นการลดความผิดพลาดและการสิ้นเปลืองกระดาษ โดยมีขั้นตอนดังนี้
  1. คลิกเลือกเมนู File เลือกคำสั่ง Print Preview (แฟ้ม > ตัวอย่างก่อนพิมพ์) หรือคลิกที่ปุ่ม 
  2. ในขั้นตอนนี้ Word จะแสดงหน้าต่าง Printer Preview ซึ่งเราสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ ได้ เช่น ปรับอัตราย่อขยายจอภาพ ดูเอกสารทีละหลายๆ หน้า ฯลฯ

     3.  หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้วให้คลิกปุ่ม Close (ปิด) เพื่อกลับไปยังหน้าต่างปกติของ Word
การสั่งพิมพ์อย่างรวดเร็วด้วยปุ่มบนแถบเครื่องมือ
          หลังจากตรวจสอบจาก Print Preview แล้วไม่พบอะไรผิดพลาด ต่อไปก็ถึงเวลาสั่งพิมพ์ วิธีหนึ่งคือการคลิกที่ปุ่ม  ซึ่งวิธีนี้เอกสารทุกหน้าจะถูกพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์
          วิธีสั่งพิมพ์ด้วยการคลิกที่ปุ่ม  สามารถพิมพ์เอสารได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องปรับแต่งอะไรมาก แต่มีจุดด้อยอยู่ว่าเราไม่สามารถเลือกพิมพ์เอกสารเป็นบางหน้าได้เลย และที่สำคัญหากเราติดตั้งพรินเตอร์ไว้หลายเครื่อง การสั่งพิมพ์วิธีนี้ Word จะส่งเอกสารทั้งหมดทุกหน้าไปยังพรินเตอร์ที่ถูกกำหนดเป็นพรินเตอร์หลักเสมอ เรียกได้ว่าเราไท่สามารถเลือกว่าจะให้พิมพ์ไปยังพรินเตอร์ตัวอื่นได้เลย
การสั่งพิมพ์โดยกำหนดเงื่อนไข
          เมื่อเรามีพรินเตอร์หลายเครื่องติดตั้งอยู่ในเครื่อง หรือต้องการพิมพ์เอกสารเป็นบางหน้า การสั่งพิมพ์ด้วยการคลิกที่ปุ่ม  นั้นทำไม่ได้ ต้องใช้วิธีดังต่อไปนี้
  1. คลิกเมนู File เลือกคำสั่ง Print (แฟ้ม > พิมพ์) หรือกดแป้นคีย์บอร์ดปุ่ม
     2.  เลือกพรินเตอร์ที่ต้องการสั่งพิมพ์ โดยเครื่องพิมพ์ที่เลือกต้องเชื่อมต่ออยู่กับคอมพิวเตอร์หรือระบบเครือข่ายที่ต่ออยู่
     3.   ระบุหน้าเอกสารที่ต้องการพิมพ์ โดยมีเงื่อนไขดังนี้
            - All (ทั้งหมด) เมื่อต้องการพิมพ์เอกสารทุกแผ่น
            - Current Page (หน้าปัจจุบัน) เมื่อต้องการพิมพ์เฉพาะหน้าที่มีเคอร์เซวอร์อยู่ในขณะนั้น
            - Page (หน้า) เพื่อกำหนดให้พิมพ์เอกสารบางหน้า โดยระบุหน้าไว้ในช่องหรือระบุเป็นช่วงก็ได้
     4.   ใส่จำนวนชุดที่ต้องการให้พิมพ์ไว้ในกรอบ Number of Copies (จำนวนสำเนา)
     5.   หากในขั้นตอนที่แล้วสั่งให้พิมพ์เอกสารหลายชุด ให้คลิกจนมีเครื่องหมายถูกในช่อง Collate (ทีละชุด) Word จะสั่งพิมพ์เอกสารจนหมดทุกหน้าก่อนแล้วจึงพิมพ์ชุดต่อไป หากเอาเครื่องหมายถูกออก Word จะพิมพ์เป็นหน้าๆ จนครบจำนวนชุดก่อนจึงพิมพ์หน้าถัดไป
     6.   คลิกปุ่ม OK
การย่อเอกสารให้พอดีหน้า
          การจัดเอกสารให้พอดีกับหน้ากระดาษถือเป็นสิ่งจำเป็นเพราะเอกสารจะดูสวยงาม น่าสนใจและไม่เปืองกระดาษ โดยวิธีลดขนาดทำได้ดังนี้
  1. คลิกเลือกเมนู File เลือกคำสั่ง Print Preview (แฟ้ม > ตัวอย่างก่อนพิมพ์) หรือคลิกที่ปุ่ม 
  2. คลิกที่ปุ่ม  (Shrink to Fit) เพื่อสั่งให้ Word ลดขนาด Font เพื่อจัดให้ข้อความจบลงพอดีกับหน้าสุดท้าย
เอกสารที่กำลังรอพิมพ์
          เมื่อเราสั่งพิมพ์ Word จะส่งข้อมูลไปให้ Windows เพื่อทำหน้าที่ติดต่อกับเครื่องพิมพ์ต่อไป หลังจากที่สั่งพิมพ์เราจะเห็นไอคอนรูปพรินเตอร์อยู่ที่ด้านล่างของหน้าจอ ต่อจากนั้นเมื่อรูปไอคอนหายไปนั่นหมายความว่า Windows ได้ส่งข้อมูลไปให้พรินเตอร์หมดแล้ว
วิธียกเลิกงานพิมพ์
          แม้ว่าเราได้สั่งพิมพ์เอกสารไปแล้ว หากเปลี่ยนใจไม่อยากให้พิมพ์ ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้
  1. คลิกที่ปุ่ม Start  จากนั้นให้เลือก Setting > Printer
  2. ดับเบิลคลิกที่ไอคอนพรินเตอร์ที่ต้องการยกเลิกพิมพ์ หลังจากนั้นเราจะพบรายการคิวเอกสารที่ได้สั่งพิมพ์ไปแล้ว
  3. คลิกที่เอกสารที่ต้องการยกเลิก หลังจากนั้นกดคีย์บอร์ด
การหยุดพิมพ์ชั่วคราว
          เอกสารที่อยู่ในคิว สามารถสั่งให้หยุดพิมพ์ชั่วคราวได้ดังขั้นตอนต่อไปนี้ คือ
  1. คลิกที่ปุ่ม Start  จากนั้นให้เลือก Setting > Printer
  2. ดับเบิลคลิกที่ไอคอนพรินเตอร์ที่ต้องการยกเลิกพิมพ์ หลังจากนั้นเราจะพบรายการคิวเอกสารที่ได้สั่งพิมพ์ไปแล้ว
  3. คลิกขวาที่เอกสารที่ต้องการให้หยุดพิมพ์ชั่วคราว
  4. คลิกที่ Pause เพื่อสั่งให้หยุดพิมพ์เอกสารนี้ หลังจากเลือกคำสั่งจะมีเครื่องหมายถูหหน้าคำว่า Pause ทันที
  5. หากต้องการพิมพ์ต่อ ให้คลิกปุ่มขวาที่เอกสารจากนั้นให้คลิกที่ Pause อีกครั้ง
ปัญหาที่มักเกิดกับการพิมพ์
          โดยทั่วๆ ไปการพิมพ์ที่ผิดพลาดมักไม่ค่อยเกิดจาก Word แต่มักเกิดจากตัวพรินเตอร์และการติดตั้งพรินเตอร์ใน Windows ไม่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น ติดตั้งพรินเตอร์ผิดรุ่น การเลือกแหล่งกระดาษผิดตำแหน่ง ฯลฯ
          อีกปัญหาหนึ่งที่พบมากคือ หากเราได้ยกเลิอกงานพิมพ์ไปแล้ว แต่พรินเตอร์ยังคงไม่หยุดพิมพ์และพิมพ์ข้อมูลที่ผิดพลาดออกมา ควรกดปุ่มยกเลิกพิมพ์ (ซึ่งอยู่บนพรินเตอร์) แต่หากพรินเตอร์ยังคงพิมพ์ข้อความขยะออกมาอีกก็ควรปิดเครื่องพรินเตอร์แล้วจึงค่อยเปิดขึ้นมาใหม่
          ในกรณีที่ติดตั้งพรินเตอร์หลายรุ่น หากในขณะสั่งพิมพ์เลือกพรินเตอร์ผิดตัว ข้อมูลที่ออกมาทางพรินเตอร์มักไม่ถูกต้อง โดยมากจะได้ข้อมูลขยะออกมา หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ควรยกเลิกการพิมพ์ทันทีและควรปิดพรินเตอร์เพื่อล้างข้อมูลด้วย
          ปัญหาเรื่องของการพิมพ์ยังมีอีกมาก ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของพรินเตอร์ ทางที่ดีหากมีปัญหาเรื่องการพิมพ์ควรเปิดดูคู่มือหรือโทรศัพท์ถามผู้ผลิตโดยตรงก็จะเป็นทางเลือกก็จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557

ทักษะคอมพิวเตอร์...ใครเก่งกว่าได้เปรียบ

ทักษะคอมพิวเตอร์...ใครเก่งกว่าได้เปรียบ

ความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในโลกแห่งเทคโนโลยี ใครก็ตามที่ยังใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็นจะกลายเป็นคนล้าหลัง และเป็นตัวเลือกที่จะไม่ถูกเลือกในการสมัครงานยุคปัจจุบัน พนักงานธุรการ เสมียน หรือเลขานุการยุคนี้ ต้องใช้คอมพิวเตอร์ได้คล่องแคล่ว อย่างน้อยก็ในโปรแกรมพื้นฐาน เช่น สามารถ Internet ค้นหาข้อมูลได้ รับ-ส่ง E-mail เป็น พิมพ์เอกสาร ทำตารางและใช้สูตรคำนวณ เบื้องต้น ด้วย Microsoft Word, Microsoft Excel และทำพรีเซนเทชั่นด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint ได้ เป็นต้น
ในทำงานที่ต้องการพัฒนาทักษะทางคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง เรามีคำแนะนำที่คุณสามารถทำได้ไม่ยาก มาฝากดังนี้
1. ตั้งเป้าหมายว่าอยากจะพัฒนาทักษะคอมพิวเตอร์ในเรื่องใด
ก็ให้จดบันทึกลงไป จากนั้นให้ประเมินว่าคุณจะใช้เวลาเท่าไรในการฝึกฝนทักษะนั้นจนสามารถทำสำเร็จได้ตามเป้า เช่นคุณเป็นคนที่พิมพ์งานช้ามาก เนื่องจากยังพิมพ์สัมผัสไม่คล่อง ระหว่างพิมพ์ยังต้องคอยมองแป้มพิมพ์และใช้นิ้วจิ้มทีละตัว คุณอาจระบุเป้าหมายลงไปว่า จะต้องพิมพ์สัมผัสได้ในความเร็ว 30 คำต่อนาที ภายในเวลา 3 วัน โดยการฝึกพิมพ์นี้คุณสามารถดาวน์โหลดวิธีฝึกออนไลน์ที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายมาใช้ในการฝึกได้ หลังจากการฝึกในแต่ละครั้งให้คุณให้คะแนนตัวเองโดยเปรียบเทียบจากการฝึก ในครั้งที่ผ่านมาว่าคุณมีความก้าวหน้ามากเพียงใด เมื่อครบตามกำหนด 3 วัน มาดูกันว่าคุณสามารถทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่ จากนั้นทำการกำหนดเป้าหมายต่อ ๆ ไปที่คุณต้องการพัฒนาเพิ่มเติม
2. ก่อนที่จะฝึกทักษะคอมพิวเตอร์ในขั้นที่สูงขึ้น
คุณจะต้องทำพื้นฐานให้แน่นเสียก่อน ให้เวลากับการฝึกทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการใช้คอมพิวเตอร์อย่างปลอดภัย เช่น การเปิด-ปิดเครื่องที่ถูกวิธี การตั้งโฟลเดอร์เพื่อจัดเก็บไฟล์งานอย่างเป็นระเบียบ การแบ็กอัพข้อมูล การสั่งพริ้นต์เอกสาร เป็นต้น หากคุณเข้าใจในทักษะเบื้องต้นเหล่านี้เป็นอย่างดีแล้วล่ะก็ คุณจะสามารถนำไปต่อยอดสู่ทักษะในขั้นที่สูงขึ้นต่อไปได้ง่าย
3. ใช้เวลาในการทำงานกับคอมพิวเตอร์ให้มาก
วิธีเดียวที่จะทำให้คุณเก่งคอมพิวเตอร์คือ อยู่กับมันให้มาก ทำความคุ้นเคยกับส่วนต่าง ๆ ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ รวมถึงวิธีการใช้งานคุณสมบัติต่าง ๆ ด้วย สะสมชั่วโมงบินให้มากเพื่อที่คุณจะมีความรู้และประสบการณ์ที่มากขึ้นเป็นลำดับ
4. อย่ากลัวที่จะทดลองโปรแกรมใหม่ ๆ
ผู้ที่เริ่มใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มักจะกลัวว่าจะเผลอไปลบไฟล์หรือโปรแกรมสำคัญทิ้งไป วิธีที่ดีที่สุดในการระงับความกลัวเช่นนี้คือการ แบ็กอัพข้อมูลเป็นประจำ ก่อนที่คุณจะทำอะไรกับคอมพิวเตอร์ของคุณ วิธีนี้ทำให้คุณยังมีไฟล์สำรองใช้อยู่ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดดังกล่าว แต่พึงระลึกไว้ว่า ในการพัฒนาทักษะที่คุณเรียนรู้แล้ว คุณจะต้องหมั่นสำรวจโปรแกรมนั้น เช่นลองใช้คำสั่งต่าง ๆ ดูว่า โปรแกรมมีความสามารถในการทำอะไรเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงาน หรือทำให้การทำงานของคุณดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น ได้บ้าง ใช้เวลากับการทดลองคุณสมบัติต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ของคุณ ถ้าไม่เข้าใจให้ลองใช้ความช่วยเหลือ (Help) คุณจะพบคำแนะนำในการใช้โปรแกรมนั้นอย่างถูกต้อง หรือหากคุณมีปัญหาที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ ให้คุณค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต หรือถามผู้รู้ในเรื่องนั้น ๆ โดยตรง
5. ฝึกฝนทักษะที่คุณได้เรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ
เนื่องจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นหากไม่ได้ใช้เป็นประจำก็จะลืมว่าเครื่องมือนี้ที่เคยใช้อยู่ตรงไหน ทำไมตอนนี้หาไม่เจอแล้ว การใช้งานเป็นประจำซ้ำ ๆ จะช่วยทบทวนความรู้และความจำจนกระทั่งคุณชำนาญและไม่ลืมมัน ที่สำคัญคือต้องฝึกฝนให้มาก ด้วยความสนใจและปรารถนาที่จะเรียนรู้
คุณสมบัติต่าง ๆ เหล่านี้ จะช่วยพัฒนาทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์ของคุณให้คล่องแคล่วและทำงานได้รวดเร็วกว่าคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ และยิ่งในช่วงที่คนทำงานต้องขยันขันแข็งมากขึ้นเพื่อสู้วิกฤติที่จะต้องเผชิญ ทักษะคอมพิวเตอร์ก็เป็นหนึ่งคุณสมบัติที่องค์กรใช้ในการพิจารณาพนักงานเช่นกัน
ขอบคุณจาก th.jobsdb.com › ... › Resources › Industry Focus › Administrative Careers

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

ประวัติความเป็นมาของนาฬิกา

ประวัติความเป็นมาของนาฬิกา


ในสมัยโบราณมนุษย์ยังไม่มีนาฬิกาใช้ การดำเนินชีวิตขึ้นอยู่กับธรรมชาติ ดวงอาทิตย์จึงเป็นนาฬิกาเรือนแรกที่มนุษย์รู้จัก นักประวัติศาสตร์ชื่อ Herodotus ได้บันทึกไว้ว่า ประมาณ 3,500 ปีก่อน มนุษย์รู้จักใช้ นาฬิกาแดด ซึ่งนับว่าเป็นนาฬิกาเรือนแรกของโลก โดยสามารถอ่านเวลาได้จากเงาที่ตกทอดลงบนขีดเครื่องหมาย 
นาฬิกาแดด(Sundial)เป็นเครื่องบอกเวลาและเครื่องมือวัดเวลา
วิธีธรรมชาติแบบหนึ่ง ทีมีใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน
โดยอาศัยการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ที่ปรากฎในแต่ละวันเป็นหลัก
สมัยโบราณก่อนที่จะเริ่มมีนาฬิกาจักรกลหรือนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์ ไว้ใช้บอกเวลาเช่นในปัจจุบันมนุษย์ใช้ประโยชน์จากปรากฎการณ์ธรรมชาติ ในการสังเกตการเปลี่ยนแปลงต่างๆจากธรรมชาติเพื่อการกำหนดเวลา
โดยเฉพาะใช้ดวงอาทิตย์เป็นเครื่องชี้บอกเวลาธรรมชาติที่สำคัญที่สุด
เช่นเวลาเช้าดวงอาทิตย์ขึ้น เวลาเที่ยงดวงอาทิตย์อยู่ตรงศีรษะ เวลาเย็นค่ำดวงอาทิตย์ตกลับจากขอบฟ้าส่วนเวลากลางวัน
ในช่วงเวลาอื่นก็อาศัยสังเกตดูจากการทอดเงา
ของวัตถุใดวัตถุหนึ่งที่กำหนดให้เป็นเครื่องบอกเวลาของคนในท้องถิ่นนั้น
ซึ่งอาจไม่มีความเที่ยงตรง แต่ก็ยอมรับได้สมัยนั้นมาใช้กำหนดเวลาด้วยหลักการตามที่กล่าวมา มนุษย์ในระยะแรกจึงได้ประดิษฐ์คิดค้นนาฬิกาแดด (Sundisl)ให้มี
รูปทรงที่เหมาะสมขึ้นมาใช้งานเป็นเครื่องบอกเวลาอย่างง่าย

นาฬิกาแดดคิดค้นขึ้นครั้งแรกเมื่อใดไม่ปรากฎ แต่จากหลักฐานพบว่านาฬิกาแดดพัฒนาขึ้น ในสมัยอียิปต์โบราณหรือราว 2000ปีมาแล้ว นาฬิกาแดดนั้นแสดงเวลาที่อาจคลาดเคลื่อนไป
จากเวลานาฬิกาข้อมือของผู้สังเกต แต่ถ้าได้เข้าใจหลักการของนาฬิกาแดดแล้วนำค่าเวลามาแก้ไข เวลาที่ได้จะมีความถูกต้องพอสมควร ที่เป็นเช่นนี้เพราะนาฬิกาแดดนั้น แสดงเวลาธรรมชาติที่ควรจะเป็น ซึ่งต่างจากเวลาของนาฬิกาข้อมือหรือนาฬิกาทั่วไปที่ใช้อยู่ปัจจุบัน
บอกวัดเวลาหรือแสดงเวลาที่ต้องการให้เป็น หมาายความว่าเวลาที่
แสดงจากนาฬิกาแดดนั้นเป็นเวลาที่เราเรียกว่าเวลาดวงอาทิตย์ ณ ตำบลที่นั้นอยู่เป็นประจำ ไม่ใช่เวลาท้องถิ่นสมมุติ หรือเวลาที่เราต้องการให้เป็น
ต่อมาชาวกรีกโบราณรู้จักพัฒนา นาฬิกาน้ำ ที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่านาฬิกาแดด เรียกว่า clepsydra ( คำนี้เป็นคำสนธิที่มีรากศัพท์มาจากคำว่า clep ซึ่งแปลว่า ขโมย และคำ sydra ที่แปลว่า น้ำ ) 
เพราะนาฬิกานี้ทำงานโดยอาศัยหลักที่ว่า " ภาชนะดินเผาที่มีน้ำบรรจุเต็มเวลาถูกเจาะที่ก้นน้ำจะไหลออกจากภาชนะ
ทีละน้อยๆ เหมือนการขโมยน้ำ " ดังนั้นชาวกรีกโบราณจึงได้กำหนดระยะเวลาที่น้ำไหลออกจนหมดภาชนะว่า 
1 clepsydra ( สุทัศน์ ยกส้าน. 2544: 159 ) แต่นาฬิกาน้ำนี้ต้องมีการเติมน้ำใหม่ทุกครั้งที่หมดเวลา 1 clepsydra และในฤดูหนาวน้ำจะแข็งตัวทำให้ไม่สามารถใช้นาฬิกาได้ 


ในปี ค.ศ.1929 Warren Morrison ได้ประดิษฐ์ นาฬิกาควอตซ์ ขึ้นเฉพาะที่เป็น นาฬิกาข้อมือ นาฬิกาประเภทนี้เที่ยงตรงมาก และในปี ค.ศ.1980 เป็นช่วงเวลาที่เริ่มนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ มีการประดิษฐ์ นาฬิกาโดยใช้ชิป ( chip ) เป็นส่วนประกอบเพิ่มเติมในกลไกของนาฬิกา ซึ่งนอกจากจะบอกเวลาแล้วยังสามารถเก็บข้อมูลที่จำเป็น และสามารถใช้เป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ได้ด้วย หลังจากนั้นเทคโนโลยีในด้านการประดิษฐ์นาฬิกาได้ก้าวหน้าเรื่อยมา จนกระทั่งทุกวันนี้เรามี นาฬิกาคอมพิวเตอร์ ใช้กันแล้ว


        สำหรับประเทศไทย คนไทยประดิษฐ์เครื่องบอกเวลาใช้เองเมื่อร้อยปีมาแล้ว คือในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงมีวลีที่กำชับรับสั่งกับข้าราชบริพารผู้ใกล้ชิด มีความว่า " สยามจะอยู่รอด รักษาความเป็นไทไม่เป็นขี้ข้าฝรั่ง จะต้องทำให้คนไทยเชื่อมั่น และต่างชาติเชื่อว่าคนไทยนี้เก่ง " จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้ากรมอุทกศาสตร์ท่านแรกของสยาม ชื่อ Captain Loftus จัดทำ นาฬิกาแดด ไว้ให้เป็นเครื่องกำหนดหมายบอกเวลา แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานไว้ที่ลานหน้าพระอุโบสถวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ บางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยาจนทุกวันนี้


ขอบคุณจาก  http://www.nonburee.com/page12.htm

10 สถานที่ชมดอกซากุระบานสุดฮิตในญี่ปุ่น


10 สถานที่ชมดอกซากุระบานสุดฮิตในญี่ปุ่น


ซากุระ คือ สัญลักษณ์แห่งชีวิตของคนญี่ปุ่น เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิของญี่ปุ่นแล้ว คุณกำลังมองหาสถานที่ชมดอกซากุระที่ญี่ปุ่นกันอยู่ใช่ไหม? ท่องเที่ยวไทยซ่าส์มีแหล่งชมดอกซากุระที่มีชื่อเสียง?ของญี่ปุ่นมาฝากทุกๆคนกันค่ะ มาดูกันว่าจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวใดในญี่ปุ่น ที่เหมาะแก่การเดินทางไปชมดอกซากุระบานมากที่สุดค่ะ 

        สถานที่ชมดอกซากุระบานในญี่ปุ่น แนะนำแหล่งชมดอกซากุระที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของคนญี่ปุ่น 


สถานที่ชมดอกซากุระ

สถานที่ชมดอกซากุระ
        สวนไดโนเสาร์ ซากุระจิมะ (Sakurajima Dinosaur Park) Photo By japan-guide 

        สวนไดโนเสาร์ ซากุระจิมะ (Sakurajima Dinosaur Park) 
เมืองคะโงะชิมะ (Kagoshima City) จังหวัดคะโงะชิมะ (Kagoshima Prefecture) เป็นสวนสาธารณะบนภูเขาไฟซากุระจิมะ ซึ่งลอยอยู่ในอ่าวคิงโค ห่างจากฝั่งตัวเมือง คะโงะชิมะ 4 กิโลเมตร 

        ซากุระจิมะ เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ ปัจจุบันยังคงมีควันลอยออกมาจากปล่องอยู่เสมอ เมื่อต้นซากุระจำนวน 3,000 ต้นของที่นี่ผลิดอก ผู้คนจำนวนไม่น้อย จะเดินทางมาเพื่อนั่งชมดอกซากุระ บนสนามหญ้าของสวนสาธารณะ แห่งนี้ นอกจากนั้นภายในสวนยังมีหุ่นจำลองไดโนเสาร์ 7 ชนิด ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่เด็กๆ ต่างชื่นชอบ 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระที่สวนไดโนเสาร์ ซากุระจิมะ คือ ในช่วงระหว่างปลายเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายนของทุกๆปี 

        การเดินทาง : โดยเรือเฟอรี่ซากุระจิมะ จากท่าเรือคะโงะชิมะฮงโค (ใกล้สถานีรถไฟ JR คะโงะชิมะ) 15 นาที 

สถานที่ชมดอกซากุระ
        บริเวณรอบๆปราสาทคุมะโมะโตะ (Kumamoto Castle) Photo By iku 

        บริเวณรอบๆปราสาทคุมะโมะโตะ (Kumamoto Castle) 
สถานที่ชมดอกซากุระบานในเมืองคุมะโมะโตะ (Kumamoto City) จังหวัดคุมะโมะโตะ (Kumamoto Prefecture) โดยปราสาทถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 400 ปีก่อน เป็น หนึ่งในสามปราสาท ที่มีแนวรั้วกำแพงหินที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น 

        เมื่อถึงฤดูชมดอกซากุระจะเปิดให้เข้าชมในเวลากลางคืนด้วย จึงสามารถเพลิดเพลินกับการชมดอกซากุระยามราตรี หากท่านได้เดินชมตัวปราสาทที่ฉาบแสงไฟ และดอกซากุระยามราตรี ไปตามถนนที่ประดับด้วยโคมไฟแล้ว ท่านจะได้ลิ้มรสกับความสุขที่ยากจะหา ใดเปรียบเชิญรับชมภาพของ "ปราสาทคุมะโมะโตะ" 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระที่ปราสาทคุมะโมะโตะ คือ ในช่วงปลายเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายนของทุกๆปี 

        การเดินทาง : ขึ้นรถโดยสารประจําทางจาก สถานีรถไฟ JR คุมะโมะโตะ 15 นาที 

สถานที่ชมดอกซากุระ

        สะพานคินไตเคียว (Kintai Bridge) Photo By k-kabegami.com 

        สะพานคินไตเคียว (Kintai Bridge) สถานที่ชมดอกซากุระบานในเมืองอิวะกุนิ (Yamaguchi City) จังหวัดยะมะงุจิ (Yamaguchi Prefecture) เป็นสะพานที่มีรูปร่างแตกต่างจากสะพานทั่วไป ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสาม สะพานที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น เมื่อย่างเข้าเดือนเมษายนบริเวณรอบๆสะพานแห่งนี้จะเต็มไปด้วยสีชมพูของดอกซากุระ 

        นอกจากนี้แล้วงานเทศกาลชมดอกซากุระแห่งสะพานคินไตเคียว จัดขึ้นในช่วงต้นเดือนเมษายนของทุกปี ซึ่งได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ในช่วงฤดูชมดอกซากุระยามค่ำคืนจะมีการประดับแสงไฟด้วย กิจกรรมที่ พลาดไม่ได้สำหรับที่นี่คือ การล่องเรือชมสะพานคินไตเคียว และดอกซากุระที่บานสะพรั่ง 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระที่สะพานคินไตเคียว คือ ในช่วงระหว่างต้นเดือนเมษายน-กลางเดือนเมษายนของทุกๆปี 

        การเดินทาง : ขึ้นรถโดยสารประจำทางจากสถานีรถไฟ JR อิวะกุนิ หรือสถานีรถไฟ JR ชินอิวะกุนิ 15 นาที 


        สวนสาธารณะทสุรุยะมะ (Tsuyama Park) Photo By okayama-ken/machi-jiman 

        สวนสาธารณะทสุรุยะมะ (Tsuyama Park) สถานที่ชมดอกซากุระบานในเมืองทสุยะมะ (Tsuyama) จังหวัดโอะกะยะมะ (Okayama Prefecture) ในอดีตสวนสาธารณะแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของปราสาททสุยะมะ ปัจจุบันยังคงเหลือ แนวกำแพงหินที่สวยงามให้นักท่องเที่ยวได้ชม หลายคนกล่าวว่า ที่นี่เป็นสถานที่สำหรับชมดอกซากุระที่สวยงามที่สุด ในแถบภาคตะวันตกของญี่ปุ่นในแต่ละปีเมื่อถึงฤดู 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระที่สวนสาธารณะทสุรุยะมะ (Tsuyama Park) คือ ในช่วงระหว่างต้นเดือนเมษายน - กลางเดือนเมษายนของทุกๆปี 

        การเดินทาง : เดินจากสถานี JR ทสึยะมะ 10 นาที 



        สวนสาธารณะชิโรยามะ (Shiroyama Park) Photo By shyama 

        สวนสาธารณะชิโรยามะ (Shiroyama Park) สถานที่ชมดอกซากุระบานในเมืองมะสึยะมะ จังหวัดเอะฮิเมะ นอกจากจังหวัดเอะฮิมะจะเป็นที่รู้จักในเรื่อง บ่อน้ำพุร้อนโดโงะ แล้ว ดอกซากุระของปราสาทมะทสุยะมะ มีชื่อเสียงใน เรื่องความงดงามด้วย ในงานเฉลิมฉลองฤดูใบไม้ผลิของมะทสุยะมะนอกจากท่านจะได้ชมดอกซากุระแล้ว ยังจะได้ชมการจำลองจัดขบวนทัพของเหล่านักรบ ที่มีชื่อว่า "ไดเมียวเกียวเร็ตทจึ" และการแข่งขันเล่น "ยาคิวเค็ง" ระดับประเทศด้วย 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระ คือ ปลายเดือนมีนาคม - ต้นเดือนเมษายน 

        การเดินทาง : ลงรถไฟสาย อิโยะเท็ตสึโด ที่สถานีไคโคโต แล้วต่อรถกระเช้าขึ้นไปอีก 3 นาที 

สถานที่ชมดอกซากุระ

สถานที่ชมดอกซากุระ
        ปราสาทฮิเมะจิ เมืองฮิเมะจิ Photo By puhi5963 

        ปราสาทฮิเมะจิ สถานที่ชมดอกซากุระบานในเมืองฮิเมะจิ จังหวัดเฮียวโงะ วัดโฮริวหยิที่นาราและปราสาทฮิเมะจิแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งแรกในประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี ค.ศ.1993 ภายในตัว ปราสาทนอกจากจะมีทรัพย์สมบัติของชาติ และมรดกทางวัฒนธรรมที่ล้ำค่าเก็บรักษาอยู่แล้ว ยังมีตำนานและเรื่องเล่าหลงเหลืออยู่อีกมากมาย ปราสาท "ฮิเมะจิ" ถูกขนานนามว่า เป็นปราสาทมีความงดงามที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ในช่วงต้นเดือนเมษายนของทุกปี จะมีการจัดงานชมซากุระ มีการบรรเลงเครื่องดนตรีโกโตะ (จะเข้ญี่ปุ่น) และกลองไทโคะด้วย 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระ คือ ต้นเดือนเมษายน - กลางเดือนเมษายน 

        การเดินทาง : เดินจากสถานีรถไฟ JR ฮิเมจิ 15 นาที 

สถานที่ชมดอกซากุระ

สถานที่ชมดอกซากุระ
        โรงกษาปณ์ เมืองโอซาก้า (Sakura no Torinuke) Photo By givancy 

        โรงกษาปณ์ เมืองโอซาก้า (Sakura no Torinuke) สถานที่ชมดอกซากุระบานในเมืองโอซาก้า จังหวัดโอซาก้า เนื่องจากบุคคลทั่วไปสามารถเข้ามาในโรงกษาปณ์ เพื่อชื่นชมความงามของดอกซากุระตามทางเดินริมน้ำ ที่มีชื่อว่า "ซากุระโนะโทโอรินุเคะ" ได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ในหนึ่งปีเท่านั้น จึงทำให้ผู้คนต่างหลั่งไหลกันมาถึงปีละล้านกว่าคน ที่พลาดไม่ได้คือ การเดินผ่านถนนที่มีดอกซากุระปกคลุมอยู่ด้านบนเต็มไปหมด คล้ายกับกำลังเดินผ่านอุโมงค์ ดอกซากุระ ในยามค่ำคืนก็จะมีการประดับไฟอย่างงดงาม ท่านสามารถเข้าชมได้จนถึงเวลา 3 ทุ่ม 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระ คือ ต้นเดือนเมษายน - กลางเดือนเมษายน 

        การเดินทาง : เดินจากสถานีรถไฟใต้ดินเทมมาบาชิ 10 นาที 

        สวนนิชิดนะมะรุเทเอ็ง ภายในสวนสาธารณะปราสาทโอซาก้า สถานที่ชมดอกซากุระบานในเมืองโอซาก้า จังหวัดโอซาก้า สวนนี้ตั้งอยู่ภายในอาณาเขตของปราสาทโอซาก้า ซึ่งเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว ภาย ในสวนมีซากุระกว่า 600 ต้น เมื่อเข้าสู่ฤดูชมดอกซากุระ ที่นี่จะคับคั่งไปด้วยบรรดาคุณพ่อคุณแม่ที่หอบลูกจูงหลานมาเที่ยว เฉพาะในช่วงฤดูชมซากุระเท่านั้น ที่จะมีการประดับโคมไฟกระดาษกว่า 200 อัน เพื่อให้นักท่องเที่ยว สามารถชื่นชมปราสาทโอซาก้า และดอกซากุระในยามค่ำคืนได้ 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระ คือ ปลายเดือนมีนาคม - ต้นเดือนเมษายน 

        การเดินทาง : เดินจากสถานีรถไฟใต้ดิน ทานิมาจิยนโจเมะ 15 นาที 

สถานที่ชมดอกซากุระ

สถานที่ชมดอกซากุระ
        วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu) Photo By senha 

        วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu) สถานที่ชมดอกซากุระบานในเมืองเกียวโต จังหวัดเกียวโต วัด คิโยมิสึ เป็นสัญลักษณ์ของ "เกียวโต" เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อราว 1,200 ปีก่อนปัจจุบัน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในฤดูชมซากุระกลีบดอกจากต้นซากุระที่มีอยู่กว่า 1,000 ต้น ในวัดแห่งนี้จะโปรยปรายลงมาอย่างสวยงาม ในช่วงที่ดอกซากุระบานทางวัดจะประดับไฟยามค่ำคืนเป็นเวลา 1 เดือน ท่านสามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่สวยงาม ของ "ลานคิโยมิสึบุโด" และ "หอ 3 ชั้น" ที่ถูกปกคลุมไปด้วยดอกซากุระ 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระ คือ ปลายเดือนมีนาคม - ต้นเดือนเมษายน 

        การเดินทาง : ขึ้นรถโดยสารประจำทางจากสถานีรถไฟ JR เกียวโต ลงที่ป้าย คิโยมิสึ แล้วเดินต่ออีก 10 นาที 

        ภูเขาโยชิโนะ สถานที่ชมดอกซากุระบานในโยชิโนะ - โจ จังหวัดนารา ที่นี่มีต้นซากุระอยู่ถึง 30,000 ต้น มากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ทั้งยังมีซากุระมากถึง 200 สายพันธุ์ ทำให้สามารถชื่นชมดอกซากุระ ได้ตลอดเดือนเมษายน พื้นที่บนภูเขานั้นถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน แต่ละส่วน จะมีช่วงที่ดอกซากุระบานไม่พร้อมกัน ของฝากที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ ขนมที่มีส่วนผสมของดอกและใบซากุระ 

        สำหรับช่วงเวลาในการเดินทางมาชมความสวยงามของดอกซากุระ คือ ต้นเดือนเมษายน - ปลายเดือนเมษายน 

        การเดินทาง : ใกล้สถานีรถไฟ โยชิโนะ (รถไฟคินเท็ตสึ สายโยชิโนะ) 
เรียบเรียงบทความโดย Travel.Thaiza.com (ท่องเที่ยวไทยซ่าส์) 
ขอบคุณแหล่งข้อมูล..yokosojapan.org